ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

ธุรกิจแฟรนไชส์ในมาเลเซียมีการเริ่มต้นคล้ายคลึงกับประเทศไทย แต่อัตราการเติบโตจะรวดเร็วกว่าเนื่องจากการบริหารธุรกิจที่จะต้องกระจายสาขาตามหมู่เกาะส่งผลให้การบริหารแบบกระจายตัวทำได้ดีกว่า ระบบแฟรนไชส์จึงน่าจะเหมาะกับการขยายธุรกิจกิจเชิงกระจายการเติบโตจากเมืองใหญ่ ที่แตกต่างจากประเทศไทยที่เมืองใหญ่จะเป็นหัวใจหลักในยุคแรกๆของการบริหารจัดการแบบสาขา ความน่าสนใจของระบบแฟรนไชส์มาเลเซียคือ ระบบการควบคุมทางการที่ค่อนข้างเข้ม จนในช่วงหนึ่งแฟรนไชส์มาเลเซียมีภาวะชงักงันจากการเติบโตธุรกิจรายเล็กเนื่องจาก กฎระเบียบที่มีรายละเอียดทำให้แฟรนไชส์รายเล็กยากทีจะผ่านคุณสมบัติในกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้

แนวคิดแฟรนไชส์ในมาเลเซียเริ่มต้นจากระบบเศรษฐกิจพื้นฐานที่มีลักษณะคล้ายการแบ่งปันผลตอบแทนระหว่างเจ้าของทรัพยากรและผู้ประกอบการ ซึ่งคล้ายกับระบบ “พะวะห์” ในอดีตของมาเลเซียที่เจ้าของที่ดินให้สิทธิผู้อื่นใช้ทรัพยากรเพื่อทำการผลิตหรือเพาะเลี้ยง โดยแบ่งผลผลิตหรือรายได้ตามสัดส่วน แม้จะยังไม่ใช่แฟรนไชส์ในเชิงพาณิชย์ แต่แนวคิดเรื่องสิทธิ การดำเนินการ และการแบ่งผลตอบแทนได้วางรากฐานทางความคิดของระบบแฟรนไชส์ในเวลาต่อมา การเริ่มต้นของแฟรนไชส์ในรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อบริษัทต่างชาติเริ่มขยายเข้าสู่ตลาดมาเลเซีย เช่น Singer ซึ่งใช้ระบบตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรเย็บผ้า และ Bata ซึ่งเป็นเครือข่ายรองเท้าระดับโลก ต่อมาแนวคิดการกระจายสินค้าผ่านระบบตัวแทนได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ปั๊มน้ำมันและศูนย์บริการรถยนต์ จนเข้าสู่ยุคที่แบรนด์อาหารจานด่วนจากสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศช่วงทศวรรษ 1960–1980 โดยเฉพาะ A&W, KFC และ McDonald’s ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชาวมาเลเซียรู้จักรูปแบบแฟรนไชส์ที่มีระบบบริหารจัดการ มาตรฐานการดำเนินงาน และการควบคุมคุณภาพที่เป็นสากล

ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา แฟรนไชส์ในประเทศเริ่มเกิดขึ้นและเติบโต โดยเฉพาะแบรนด์อาหารจานด่วนท้องถิ่นอย่าง Marrybrown ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1981 และต่อมาได้ขยายสาขาไปต่างประเทศจนกลายเป็นตัวอย่างความสำเร็จของแฟรนไชส์มาเลเซียในตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในกลุ่มยานยนต์ พลังงาน งานฝีมือ และเครื่องดื่มที่เริ่มนำแนวคิดแฟรนไชส์มาใช้ในการขยายสาขา หน่วยงานของรัฐอย่าง MARA (Majlis Amanah Rakyat) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มบูมิปูเตรา ให้สามารถพัฒนาธุรกิจเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ เพื่อกระจายรายได้และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม

ในปี 1992 รัฐบาลมาเลเซียได้จัดตั้งโครงการ Franchise Development Programme (FDP) ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนจะโอนไปอยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาผู้ประกอบการ เป้าหมายของโครงการคือส่งเสริมให้เกิดแฟรนไชส์ใหม่ทั้งในฐานะเจ้าของ แฟรนไชส์หลัก และแฟรนไชส์ซี พัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ และจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการบริหารระบบแฟรนไชส์ โครงการนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สามารถสร้างงาน ขยายโอกาส และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการรายย่อย

ต่อมาในปี 1998 ประเทศมาเลเซียได้ออกกฎหมายสำคัญชื่อว่า Franchise Act 1998 (Act 590) ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยแฟรนไชส์ฉบับแรกของประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและคุ้มครองคู่สัญญาในระบบแฟรนไชส์ กฎหมายนี้กำหนดให้เจ้าของแฟรนไชส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องลงทะเบียนก่อนเสนอขายแฟรนไชส์ กำหนดให้มีเอกสารการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure Document) และกำหนดเนื้อหาขั้นต่ำของสัญญาแฟรนไชส์ เช่น สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา เงื่อนไขค่าธรรมเนียม การต่อสัญญา และการบอกเลิก รัฐบาลแต่งตั้ง Registrar of Franchise เพื่อดูแลการลงทะเบียน การตรวจสอบ และการควบคุมมาตรฐานของระบบแฟรนไชส์

เมื่อเวลาผ่านไป ระบบแฟรนไชส์ในมาเลเซียมีการขยายตัวและซับซ้อนมากขึ้น จึงมีการแก้ไขกฎหมายเป็น Franchise (Amendment) Act 2020 ซึ่งเริ่มบังคับใช้ในปี 2022 การแก้ไขนี้เพิ่มความเข้มงวดในหลายด้าน เช่น การบังคับให้แฟรนไชส์ต่างประเทศต้องลงทะเบียนเต็มรูปแบบ การกำหนดอายุใบอนุญาต 5 ปี การให้แฟรนไชส์ซีต้องลงทะเบียนในบางกรณี และการเพิ่มบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบดิจิทัล MyFEX 2.0 เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่นเอกสาร การต่ออายุ และการตรวจสอบข้อมูล ระบบใหม่นี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการยกระดับมาตรฐานแฟรนไชส์สู่ความโปร่งใสและสอดคล้องกับยุคดิจิทัล

อุตสาหกรรมแฟรนไชส์ของมาเลเซียเติบโตต่อเนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐและนโยบายพัฒนาเอสเอ็มอี มีการจัดสรรทุนอบรมและเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายสาขาผ่านระบบแฟรนไชส์ ปัจจุบันมาเลเซียมีแบรนด์แฟรนไชส์กว่า 600 แบรนด์ โดยประมาณ 70% เป็นแบรนด์ท้องถิ่น ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีก การศึกษา สุขภาพและความงาม และบริการเฉพาะทางต่างๆ แฟรนไชส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายธุรกิจ เพิ่มคุณภาพการบริการ และสร้างอาชีพให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมแฟรนไชส์ของมาเลเซียยังคงเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งขั้นตอนทางกฎหมายที่ซับซ้อน ความเข้าใจของผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่ลึกซึ้งในระบบแฟรนไชส์ ความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอาหารและค้าปลีก แต่รัฐบาลและหน่วยงานกำกับยังคงดำเนินนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างสนับสนุน เช่น การฝึกอบรม การตรวจสอบคุณภาพ และการผลักดันให้แบรนด์ท้องถิ่นออกสู่ตลาดต่างประเทศ

ในยุคปัจจุบัน แฟรนไชส์ของมาเลเซียได้เข้าสู่ช่วงของการปรับตัวสู่ระบบดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีในระบบบริหารจัดการร้าน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการสร้างมาตรฐานแฟรนไชส์ที่เน้นความยั่งยืนและความโปร่งใส ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Marrybrown, Nelson’s, Globalart และ The Manhattan Fish Market ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแฟรนไชส์มาเลเซียสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ การพัฒนาของแฟรนไชส์ในมาเลเซียจึงไม่เพียงเป็นเรื่องของธุรกิจ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจระดับชาติที่มุ่งเสริมสร้างผู้ประกอบการ สร้างงาน และขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางแฟรนไชส์ของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต

อุตสาหกรรมแฟรนไชส์ในมาเลเซียมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2022 มีมูลค่ารวมกว่า 36 พันล้านริงกิตมาเลเซีย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 46 พันล้านริงกิตมาเลเซียภายในปี 2025 อุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยอัตราเฉลี่ย 15% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในภาคธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีก การศึกษา และสุขภาพ รัฐบาลมาเลเซียมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Enhanced Franchise Export Development Program (EFDP) ที่ช่วยส่งเสริมแบรนด์แฟรนไชส์ท้องถิ่นให้ขยายตัวสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแฟรนไชส์ในมาเลเซียยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น งาน Franchise International Malaysia (FIM) 2024 ที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม มีผู้เข้าร่วมกว่า 30,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสร้างมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์กว่า 716 ล้านริงกิตมาเลเซีย นอกจากนี้ งาน Franchise Expo Malaysia 2024 ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ดึงดูดผู้แสดงสินค้าและนักลงทุนจากกว่า 10 ประเทศ โดยมีบูธแสดงสินค้ามากกว่า 500 บูธ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมาเลเซียในฐานะศูนย์กลางธุรกิจแฟรนไชส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมแฟรนไชส์ในมาเลเซียต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในปี 2024 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคว่ำบาตรสินค้าตะวันตกโดยผู้บริโภคที่สนับสนุนปาเลสไตน์ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแบรนด์แฟรนไชส์ตะวันตก เช่น KFC และ Pizza Hut ที่ดำเนินการโดย QSR Brands (M) Holdings Bhd บริษัทต้องปิดสาขาชั่วคราวกว่า 100 แห่งในช่วงที่เผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ปัจจัยนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่สะท้อนถึงความอ่อนไหวของธุรกิจแฟรนไชส์ต่อสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายนอก

แม้จะมีความท้าทาย แต่อุตสาหกรรมแฟรนไชส์ในมาเลเซียยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลและการจัดงานแสดงสินค้าที่ช่วยส่งเสริมการลงทุน ธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศนี้ยังคงมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การพัฒนาธุรกิจต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งในและต่างประเทศเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต

จำนวนแฟรนไชส์ของมาเลเซีย

ปัจจุบันมาเลเซียมีธุรกิจแฟรนไชส์ที่จดทะเบียนกับกระทรวงการค้าภายในกิจการสหกรณ์และการคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่า 800 บริษัท ในจำนวนนี้ ประมาณ 67% เป็นแบรนด์ท้องถิ่น และ 33% เป็นแบรนด์จากต่างประเทศ ธุรกิจแฟรนไชส์ในมาเลเซียครอบคลุมหลากหลายสาขา เช่น อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่น สุขภาพและความงาม การศึกษา และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายและศักยภาพของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศ

แฟรนไชส์ที่นิยมในการลงทุนในมาเลเซีย” ภาพรวมปัจจุบันชี้ว่าหมวดอาหารและเครื่องดื่มยังครองสัดส่วนสูงสุด ตามมาด้วยบริการแบบใช้ระบบและกึ่งอัตโนมัติ เช่น เซลฟ์เซอร์วิส ลอนดรี้ โดยมีแบรนด์ท้องถิ่นแข็งแรงและเปิดรับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ชานมและคาเฟ่เป็นจุดเริ่มต้นยอดนิยมเพราะทำเลยืดหยุ่น กระบวนการผลิตมาตรฐาน และดีมานด์รายวัน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ

Tealive ซึ่งเผยแพร่แพ็กเกจแฟรนไชส์ด้วยเงินลงทุนเริ่มราว 4.6–4.8 แสนริงกิต ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์และโรยัลตี้กำหนดชัดเจน เหมาะกับทำเลศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ในเมืองใหญ่และเมืองรองของมาเลเซีย ด้าน “โคปิเตี๊ยม/คาเฟ่เต็มรูปแบบ” อย่าง OldTown White Coffee เป็นแบรนด์สัญชาติมาเลเซียที่ได้รับความนิยมสูงและมีโปรแกรมแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ โดยต้นทุนตั้งร้านขึ้นกับขนาดและทำเลซึ่งโดยทั่วไปสูงกว่าโมเดลคีออส แต่แลกกับบัตรเมนูหลากหลายและฐานลูกค้ากว้างที่คุ้นกับแบรนด์มายาวนาน สำหรับเค้กคาเฟ่ Secret Recipe” เป็นตัวเลือกที่นักลงทุนท้องถิ่นคุ้นเคย ต้นทุนรวมมักอยู่ช่วงประมาณ 6–6.5 แสนริงกิต ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ราว 1.5 แสนริงกิต และโรยัลตี้ 5% ซึ่งเหมาะกับทำเลหน้าศูนย์การค้าหรือช็อปเฮาส์ที่มีทราฟฟิกประจำ กลุ่มอาหารจานด่วนสัญชาติมาเลเซียที่ขยายทั้งในและต่างประเทศ เช่น Marrybrown ยังคงเป็นแม่เหล็กของนักลงทุน โดยแจ้งกรอบเงินลงทุนเปิดสาขามาตรฐานราว 8 แสนถึง 1 ล้านริงกิต โครงสร้างค่าธรรมเนียมและการสนับสนุนการปฏิบัติการวางไว้ชัดเจน ทำให้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการระบบครบวงจรและสเกลใหญ่ขึ้น หากต้องการเริ่มด้วยเงินลงทุนไม่สูง โมเดลคีออสและสแน็กอย่าง Nelson’s “ข้าวโพดถ้วย” เป็นทางเลือกยอดนิยมในมาเลเซีย ด้วยภาพจำแบรนด์ยาวนานและต้นทุนตั้งต้นที่ยืดหยุ่น โดยหลายแหล่งอ้างถึงกรอบเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักหกหมื่นริงกิตตามขนาดและทำเล ซึ่งเหมาะกับผู้เริ่มต้นและพื้นที่ศูนย์การค้าที่ต้องการคีออสขนาดเล็ก นอกเหนือจากอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการที่เติบโตเร็วอย่างร้านซักผ้าหยอดเหรียญก็เป็นหมวดที่นักลงทุนมาเลเซียสนใจ เพราะโมเดลการดำเนินงานมีมาตรฐานสูง เปิดได้ 24 ชั่วโมง และพึ่งพาบุคลากรหน้างานน้อย แบรนด์อย่าง LaundryBar สื่อสารว่ามีเครือข่ายกว้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีระบบสนับสนุนการเปิดสาขา ทำให้เป็นหมวด “กึ่งพาสซีฟ” ที่ได้รับความนิยมในย่านชุมชนและย่านพักอาศัยหนาแน่น ทั้งนี้ควรแยกให้ชัดเจนว่าแบรนด์กาแฟที่กำลังเป็นที่นิยมอย่าง ZUS Coffee แม้จะมีเพจรับความสนใจด้านแฟรนไชส์ระหว่างประเทศ แต่ในมาเลเซียเองบริษัทระบุว่า “ยังไม่เปิดแฟรนไชส์” ในเวลานี้ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบประกาศล่าสุดจากบริษัทก่อนตัดสินใจ เมื่อประเมินความน่าสนใจของแฟรนไชส์ในมาเลเซีย ควรพิจารณา 3 มิติหลัก ได้แก่

หนึ่ง แบรนด์และดีมานด์ในพื้นที่จริง แบรนด์ท้องถิ่นที่แข็งแรงและมีการสนับสนุนสาขามักลดความเสี่ยงช่วงแรพอัป

สอง โครงสร้างต้นทุน–ผลตอบแทน โดยหมวดคีออสต้นทุนต่ำให้จุดคุ้มทุนเร็วกว่า แต่เพดานยอดขายต่อสาขาอาจต่ำกว่าร้านรูปแบบเต็ม

และสาม กรอบกฎหมายและคอมพลายแอนซ์ภายใต้ Franchise Act 1998 และระบบลงทะเบียนที่อัปเดต ซึ่งนักลงทุนต้องตรวจสอบเอกสารสิทธิ เครื่องหมายการค้า และทะเบียนแฟรนไชส์ให้ถูกต้องก่อนเซ็นสัญญาเพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายในระยะยาว

 

ความโดดเด่นของแฟรนไชส์มาเลเซียในเชิงผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดทางธุรกิจน่าจะไม่มีอะไรที่ดูโดดเด่นแต่ในเรื่องการจัดการระบบจะมีความเข้ม รักษามาตรฐานสูงและมีความน่าเชื่อถือได้ตามเงื่อนไขของกฎหมายแฟรนไชส์

ตัวอย่างระบบแฟรนไชส์ที่เป็นของมาเลเซียในปัจจุบัน

แบรนด์ หมวดธุรกิจ เปิดแฟรนไชส์ในมาเลเซีย? เงินลงทุนเริ่มต้นโดยประมาณ* ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ โรยัลตี้ (ต่อเดือน/ยอดขาย)  
ZUS Coffee กาแฟเชน ยังไม่เปิดในมาเลเซีย  
Tealive ชานม/คีออส เปิดแฟรนไชส์ ≈ RM480,000 ระบุในแพ็กเกจ ระบุคิด ≈ 3% และมี A&P ในแพ็กเกจ  
OldTown White Coffee คาเฟ่/ร้านอาหารเต็มรูปแบบ เปิด(ผ่านโปรแกรมแฟรนไชส์/ไลเซนส์) ขึ้นกับรูปแบบร้าน เคยมีการอ้างถึง RM80,000 (ข้อมูลเก่า) ระบุมีโรยัลตี้ (ข้อมูลเก่า)  
Secret Recipe เค้กคาเฟ่/ร้านอาหาร เปิดแฟรนไชส์ ≈ RM600,000–650,000 ≈ RM150,000 ≈ 5% ของยอดขายสุทธิ  
Marrybrown QSR ไก่ทอด/เบอร์เกอร์ (แบรนด์มาเลเซีย) เปิดแฟรนไชส์ ไม่ระบุสาธารณะ (ขึ้นกับแบบร้าน/ทำเล) ติดต่อบริษัท ติดต่อบริษัท  
Nelson’s คีออสข้าวโพด/สแน็ก เปิดแฟรนไชส์ ≈ RM15,000–60,000 ≈ RM5,000–12,000 NA  
LaundryBar ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ เปิดแฟรนไชส์ แปรผันตามขนาดร้าน/ทำเล ≈ RM65,000 NA  

* ตัวเลขเป็น “กรอบอ้างอิง” จากหน้าอย่างเป็นทางการและ/หรือแหล่งรวมข้อมูลแฟรนไชส์ (บุคคลที่สาม) ซึ่งอาจอัปเดตเป็นระยะ ควรติดต่อแบรนด์เพื่อใบเสนอราคาจริง ณ ทำเล/รูปแบบร้านที่ต้องการ

หมายเหตุ ในระบบพะวะห์ เจ้าของที่ดินอนุญาตให้ผู้ประกอบการเข้าใช้ที่ดินเพื่อนำไปทำการเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์ โดยผู้ประกอบการจะต้องแบ่งผลผลิตหรือผลกำไรให้กับเจ้าที่ดินตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน เช่น แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือแบ่งปันตามสัดส่วนที่ตกลงไว้ เงื่อนไขมักไม่ได้อยู่ในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และบางครั้งอาจสืบทอดเป็นรุ่น ๆ ไป