Category Business, Business Insights, Uncategorized November 19, 2025 เส้นทางการพัฒนาของธุรกิจ Dark Kitchen / Cloud Kitchen เป็นเรื่องที่สะท้อนวิวัฒนาการของพฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีการสั่งอาหาร และโครงสร้างต้นทุนของร้านอาหารยุคใหม่อย่างชัดเจน วันนี้ก็เลยตั้งใจอธิบายที่มาของธุรกิจด้านนี้ตั้งแต่ “ที่มา” จนถึง “ปัจจุบัน–อนาคต” เพื่อให้เห็นภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจนี้อย่างครบวงจร ถ้าย้อนเวลากลับไปซัก 20-30 มาแล้ว หลายคนอาจจะนึกถึงร้านอาหารเล็กๆที่อยู่ในพื้นที่เมืองใหญ่ ทั้งประเทศเราและในต่างประเทศ ที่ประกอบธุรกิจแบบตามช่วงเวลาการเปิดปิดตามชนิดของรูปแบบการบริการและตัวอาหาร ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นธุรกิจแบบครอบครัวมีการจ้างงานบ้างเล็กน้อย การทำงานเน้นความอดทนขยันอดออมเป็นหลักไม่ได้มองเรื่องขยายธุรกิจหรือกระจายสาขาแต่อย่างใด จนรูปแบบความเป็นอยู่ของผู้คนเปลี่ยนไปความต้องการสินค้ากับช่วงเวลาที่เน้นความสะดวก การส่งสินค้าถึงตัวเองได้รวดเร็วเป็นประเด็นที่คนยุค่ใหม่ถูกสังคมสภาพบังคับ ธุรกิจที่ถูกเรียกว่า Dark Kitchen เริ่มต้นจากโจทย์ง่าย ๆ ของผู้ประกอบการอาหารในเมืองใหญ่ที่ต้องการลดต้นทุนเช่าพื้นที่หน้าร้านซึ่งแพงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยอดขายหน้าร้านกลับชะลอตัวเพราะลูกค้าหันไปสั่ง Delivery มากขึ้น คลื่นแรกเริ่มขึ้นในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ลอนดอน ดูไบ และสิงคโปร์ ที่ซึ่งร้านอาหารหลายแห่งไม่สามารถแบกรับค่าเช่าพื้นที่ หน้าร้าน พนักงานบริการ และต้นทุนไฟ–น้ำ ในขณะยอดขาย Delivery มีสัดส่วนเพิ่มจนเกิน 40–60% โมเดลครัวลับที่ไม่มีหน้าร้านจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ร้านสามารถผลิตอาหารได้โดยไม่ต้องจ่ายต้นทุน Fixed Cost แบบร้านดั้งเดิม การเติบโตขั้นแรกมาพร้อมกับแพลตฟอร์ม Delivery เช่น UberEats, Deliveroo, GrabFood, Foodpanda ในบ้านเราก็มีเช่น LineMan, FoodPanda ที่ต้องการร้านอาหารจำนวนมากบนแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มในต่างประเทศเหล่านี้บางรายก็จะต้องหาทางสร้างสินค้าที่อาศัยร้านค้าเล็กๆเหล่านี้ จึงใช้ทางออกโดยไปสนับสนุนแนวคิดนี้โดยการสร้างครัวรวมให้เช่าแบบรายห้อง ทำให้ร้านเล็ก ร้านใหม่ และแบรนด์ทดลองจำนวนมากสามารถเข้าสู่ตลาดได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง นี่คือช่วงที่คำว่า Cloud Kitchen เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลาย เมื่อแพลตฟอร์ม Delivery เติบโตจนพฤติกรรมสั่งอาหารกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ตลาดก็เข้าสู่ระยะที่สอง คือการขยายตัวของ “Multi-brand Kitchen” ที่ใช้ครัวเดียวในการทำหลายแบรนด์ เช่น เบอร์เกอร์ ไก่ทอด ก๋วยเตี๋ยว และข้าวกล่องในครัวเดียวกัน เพื่อเพิ่มยอดขายต่อพื้นที่ ลดต้นทุนแรงงาน ลดการใช้วัตถุดิบซ้ำซ้อน และเพิ่ม ROI ของครัวหนึ่งจุด การบริหารแบบรวมศูนย์ของวัตถุดิบ, ซอส, สูตร, และการเตรียมอาหาร ทำให้เกิดครัวแบบ Hub & Spoke ซึ่งผลิตวัตถุดิบหลักจาก Hub และส่งไปให้ Spoke (ครัวเล็กตามจุดบริการ) ทำงานเพียงขั้นตอนสุดท้าย ช่วยลดต้นทุนแรงงานและลดจุดผิดพลาดของรสชาติ ระบบนี้ทำให้ร้านจำนวนมากสามารถขยายพื้นที่ให้บริการในเมืองหนึ่งได้หลายเขตโดยไม่ต้องเปิดร้านเต็มรูปแบบ พอเข้าสู่ระยะที่สาม ตลาดเริ่มอิ่มตัว ผู้เล่นหลายรายพบว่าต้นทุนที่ยังสูงที่สุดไม่ใช่ค่าเช่าครัว แต่เป็น “คอมมิชชั่นแพลตฟอร์ม Delivery” นี่แหละของจริงที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารบ้านเราเปลี่ยนไป เนื่องจากการแข่งขันสภาพความเป็นอยู่ พฤติกรรมการบริโภคแบบใหม่ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการต้องพึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ในการทำธุรกิจ พอมาถึงจุดนี้การจ่ายคอมมิชชั่นที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มราคาขึ้นทำให้ ผู้ประกอบการเริ่มสร้างช่องทาง Direct-to-Consumer เช่น เว็บไซต์สั่งตรง LINE OA Chat Commerce ช่องทาง Pickup และโมเดล Hybrid Ghost + Takeaway Window เพื่อสร้างยอดขายที่ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิสชัน แบรนด์ที่เข้มแข็งเริ่มสร้างกล่องแบรนดิ้ง บรรจุภัณฑ์เฉพาะ และเมนูที่ออกแบบมาสำหรับ Delivery โดยไม่เสียภาพลักษณ์ร้าน นี่คือช่วงที่ Dark Kitchen พัฒนาตัวเองสู่โมเดลที่คล้าย “โรงงานอาหารขนาดเล็ก” ที่ใช้ระบบมาตรฐาน, IoT, การจัดการคุณภาพ และระบบควบคุมรสชาติแบบศูนย์กลางมากขึ้น ศัพท์การใช้เรื่อง Dark Kitchen กระจายอยู่กับผู้เชียวชาญเฉพาะที่เข้าใจการออกแบบระบบร้านอาหารขนาดนี้จึงเกิดขึ้น และกำหนดวิธีการจัดการรวมถึงการขยายสาขาจึงชัดเจนมากขึ้น ถ้าเราวิเคราะห์แนวโน้มทิศทางอนาคตของ Dark Kitchen จะขับเคลื่อนด้วย 4 เส้นทางหลัก ได้แก่ การใช้ข้อมูล (Data-driven Kitchen) ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางธุรกิจ การสร้างแบรนด์เฉพาะ Delivery เพื่อสร้างความโดดเด่นและการจดจำให้ได้บนโลกออนไลน์หรือรวมถึงออฟไลน์ด้วย การเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ การบริหารจัดการภายในลึกไปถึงในครัวการผลิตด้วย การขยายรูปแบบ Hub & Spoke ให้มีความแม่นยำกว่าปัจจุบัน ครัวที่ใช้ข้อมูลยอดขายเพื่อเลือกเมนูที่ขายได้ในแต่ละพื้นที่จะทำให้ต้นทุน Food Waste ลดลงอย่างมาก เมนูจะถูกปรับตามรัศมีจัดส่ง เวลาที่ลูกค้าสั่ง และเทรนด์ของพื้นที่นั้นอย่างละเอียด จากนั้นธุรกิจจะเริ่มเห็นการเติบโตของ “AI Menu Optimization” ที่วิเคราะห์ว่าครัวควรขายเมนูใดคุ้มค่าที่สุดในโลเคชันนั้นแบบเรียลไทม์ สิ่งที่จะเป็นแนวโน้มต่อมาคือ การสร้างแบรนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะบน Delivery เท่านั้น โดยไม่ต้องมีร้านจริงในโลกออฟไลน์ เช่น แบรนด์ Viral Menu, แบรนด์ที่เกิดจาก Influencer หรือแบรนด์ที่ออกแบบให้ตอบโจทย์การจัดส่งโดยเฉพาะ ความสามารถของ Dark Kitchen คือการเปิดแบรนด์ใหม่ภายในไม่กี่วัน จึงทำให้เกิด “Brand Portfolio Kitchen” ที่สามารถหมุนแบรนด์ตามกระแสได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการปรับตัวในด้านเทคโนโลยี การใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์ทอด หุ่นยนต์ผัด การปรุงแบบ Standardized Machine และระบบตรวจสอบอุณหภูมิแบบ IoT จะทำให้ครัวมีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมลดต้นทุนแรงงานมากกว่า 20–30% ระบบนี้ทำให้ Dark Kitchen กลายเป็นเครื่องจักรสร้างอาหารที่ควบคุมมาตรฐานได้ดีกว่าครัวร้านทั่วไป สุดท้าย แนวโน้มที่สำคัญมากคือการเติบโตของโมเดล Hub & Spoke ขนาดกลางที่เชื่อมกับพื้นที่จัดส่งแบบ Micro Fulfillment จุด Hub ผลิตวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป ส่วน Spoke อยู่ในโลเคชันใกล้ชุมชน เพื่อส่งอาหารถึงลูกค้าภายใน 15–20 นาที โมเดลนี้ทำให้แบรนด์สามารถขยายภูมิศาสตร์ได้เร็ว ลดต้นทุนการขนส่ง และแข่งขันกับแพลตฟอร์ม Delivery ได้ดีขึ้น ด้วยการมีจุดส่งใกล้ลูกค้ามากขึ้น เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เส้นทางอนาคตของ Dark Kitchen จะเป็นการผสมผสานระหว่าง ครัวอัตโนมัติ ผสานกับการใช้ข้อมูล เชื่อมโยงการแนวทางการออกแบบแบรนด์เฉพาะ Delivery พร้อมกับการสร้างเครือข่ายการผลิตแบบ Hub & Spoke ที่แม่นยำ ทำให้ธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่ครัวลับไร้หน้าร้านเหมือนยุคแรก แต่พัฒนาไปเป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านอาหาร” ของยุคเมืองสั่งส่งเร็ว และในอีกไม่กี่ปี โลกอาจเห็น Dark Kitchen ที่บริหารหลายสิบแบรนด์ในพื้นที่ไม่ถึง 50 ตารางเมตร ทำงานโดยคนเพียง 1–2 คน แต่มีเครื่องมืออัตโนมัติและระบบหลังบ้านที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเต็มรูปแบบ บทความโดย : ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ (CFE) ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีก และ แฟรนไชส์ สนใจปรึกษาธุรกิจ ติดต่อสอบถาม : 099-615-2647 Line : @coachandconsulting Facebook : https://www.facebook.com/coachandconsulting