1. บทนำ

เป้าหมายของการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยคือ การสร้างความเข้มแข็งและเปิดโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการได้ในทุกระดับ ในขณะเดียวกันระบบแฟรนไชส์จะช่วยสร้างความเข้มแข็งของสังคมด้วยการสร้างโอกาสการเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่งผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจมากกว่าการเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานองค์กร การพัฒนานักลงทุนผู้ประกอบการจะเพิ่มศักยภาพในการสร้างงานและมูลค่าต่อเนื่อง    การพัฒนาธุรกิจด้านแฟรนไชส์จะมีข้อแตกต่างกับรูปแบบการพัฒนาธุรกิจหรือผู้ประกอบการใหม่ เนื่องจากกระบวนการแฟรนไชส์จะสามารถลดความเสี่ยงอัตราความล้มเหลวของธุรกิจที่เกิดใหม่ได้ดีกว่าด้วยการสร้างกระบวนการการช่วยเหลือระหว่างธุรกิจที่เข้มแข็งและผู้ประกอบการที่เริ่มต้นใหม่   

นอกจากการสร้างความเข้มแข็งในประเทศแล้วการพัฒนาธุรกิจอีกระดับคือ การสร้างมาตรฐานและเสริมศักยภาพธุรกิจให้ธุรกิจสามารถกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในระดับการค้าระหว่างประเทศได้จริง  รูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์นั้นได้รับการยอมรับจากทั่วโลกแล้วว่า การขยายระบบแฟรนไชส์นอกจากจะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศผู้ส่งออกระบบธุรกิจแฟรนไชส์แล้วยังช่วยให้เกิดการพัฒนาของประเทศผู้นำเข้าระบบไปด้วย กระบวนการค้าระบบแฟรนไชส์จึงเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์รูปแบบการค้าสมัยใหม่ที่ลดภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างดี

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ นั้นได้ดำเนินการโครงการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมาในหลายรูปแบบโครงการ และริเริ่มการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้เข้าใจวิธีการสร้างตลาดในต่างประเทศมาบ้างแล้วไม่น้อยกว่า 8 ปี (เริ่มโครงการต่างประเทศประมาณปี พ.ศ. 2550)  ในแต่ละครั้งจะมีการกิจกรรมประกอบโครงการเน้นสร้างกิจกรรมในต่างประเทศเป็นหลัก      สำหรับโครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลกครั้งนี้ ได้มีการออกแบบการจัดการให้เน้นความพิเศษกว่าโครงการอื่นที่ผ่านมาทั้งรูปแบบเนื้อหากิจกรรม เป้าหมายการจัดทำโครงการ และกระบวนการจัดการบริหารโครงการ

จุดสำคัญของ “โครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลก” 

  1. จำเป็นต้องมีการสร้าง กระบวนการพัฒนายุทธศาสตร์การขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางและแผนงานสู่เป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงการบริหารจัดการโครงการในระยะสั้นสู่ระยะกลางเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง (Steak Holders) ของระบบธุรกิจสามารถพัฒนาร่วมกันอย่างมีทิศทางเดียวกันได้ด้วยความเข้าใจต่อกันและสร้างผลเกิดขึ้นได้จริง
  2. การพัฒนารูปแบบของธุรกิจแฟรนไชส์เพื่อการขยายสู่ต่างประเทศนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างจากรูปแบบการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศอย่างชัดเจน เช่น การพัฒนาองค์ประกอบด้านกฎหมายระหว่างประเทศ การจัดการบริหารธุรกิจ การสร้างตลาดและตราสินค้า รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการธุรกิจข้ามพื้นที่ประเทศ การสร้างความเข้าใจการขยายธุรกิจแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศต้องสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องและเกิดความเข้าใจจริงเท่านั้น
  3. การบริหารจัดการโครงการจะต้องมีการวางโครงสร้างองค์กร(Project Organization) ที่เป็นหน่วยดำเนินงานพร้อมกับประสานทีมงานร่วม ระหว่างบริษัทที่ปรึกษาและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการ ที่จะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีการติดตามงานประเมินผลต่อเนื่อง
  4. การประเมินธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการจะต้องหวังผลในการขยายงานได้จริง ซึ่งหมายถึงต้องเข้าร่วมกระบวนการพัฒนาอย่างจริงจัง มีความพร้อมในการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจของตนอย่างเหมาะสม มีรูปแบบธุรกิจที่สามารถสร้างการยอมรับระดับนานาชาติโดยเฉพาในเขตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ 
  5. ต้องการสำรวจหาจุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจแฟรนไชส์คนไทยที่มีผลต่อการขยายฐานตลาดสู่ต่างประเทศว่ามีด้านใดบ้าง และมีระยะห่างจากความเป็นไปได้ต่อรูปแบบการขยายสู่ต่างประเทศ เพื่อกำหนดวางแผนแนวทางการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ของคนไทยทั้งระบบ
  6. รูปแบบการพัฒนาธุรกิจระดับนานาชาติจะต้องใช้ทีมงานที่เข้าใจระบบแฟรนไชส์ มีประสบการณ์โดยตรงและเห็นผลงานการพัฒนาแฟรนไชส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้นทีมที่ปรึกษาจะต้องมีรูปแบบการพัฒนาธุรกิจที่เน้นการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศเพื่อทำงานร่วมกับผู้ประกอบการได้จริง
  7. การพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องมุ่งสร้างกลุ่มผู้สนใจการลงทุน(Sub-Franchise Investors) ต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องใช้การบริหารผ่านหน่วยงานร่วมมือ (Franchise Brokerage Companies) ที่มีการดำเนินกิจกรรมในประเทศเป้าหมายของโครงการ มากกว่าจะเป็นการจัดการประชุมผู้สนใจธุรกิจต่อการเดินทางซึ่งจะเห็นผลได้ช้ากว่า

นอกจากความสำคัญดังกล่าวแล้ว โครงการครั้งนี้จะต้องสร้างเนื้อหาการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยสู่ต่างประเทศได้จริง เช่น ข้อมูลการตลาดในประเทศมุ่งหวัง การสร้างกลุ่มธุรกิจที่จะสามารถรวมตัวในการขยายตลาดร่วมกัน ทั้งนี้สิ่งที่มุ่งหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ด้วยการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ เชื่อถือได้ และสามารถสร้างการยอมรับและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้(Unity)

การนำเสนอเนื้อหา (Agenda) สำคัญ

การจัดกลุ่มประเทศเป้าหมายของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

มูลค่าตลาดภาพรวมของตลาดเป้าหมาย

วิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

การประมาณการ การขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในแต่ละประเทศ

สรุป เป้าหมายเชิงมูลค่าของระบบแฟรนไชส์สู่ตลาดต่างประเทศของไทยในระยะ 5  ปีต่อไป

2. วัตถุประสงค์

2.1 การนำเสนอเป้าหมายธุรกิจแฟรนไชส์ไทยเพื่อกำหนดเป้าหมายธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยในทิศทางการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศให้ชัดเจน

2.2 การประเมินความเป็นไปได้ของระบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทย และการคาดการณ์ตลาดใน 5 ปีข้างหน้า ในช่วงพ.ศ. 2563 หรือ ปี ค.ศ. 2020

2.3 วางเป้าหมายมูลค่าธุรกิจที่เป็นรูปธรรมสำหรับการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในปี 2020

3. ภาพรวมของการกระจายระบบแฟรนไชส์ในตลาดสากล

 

3.1 การเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางของระบบแฟรนไชส์

ยุคการพัฒนาธุรกิจจากอังกฤษ ’19 British Century

การพัฒนาระบบอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ใช้เครื่องจักรเกิดขึ้นจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในอังกฤษต่อเนื่อง ทำให้มีอิทธิพลของระบบธุรกิจในช่วงปี 18151914 โดยได้รับการเรียกว่าเป็นช่วงของ Britain’s Imperial Century หรือการสร้างอาณาจักรของจักรภพอังกฤษ เมื่อรูปแบบการค้าเปลี่ยนไป การพัฒนาลักษณะการค้าที่เน้นรูปแบบระบบการบริการ และการกระจายตัวสู่พื้นที่ในต่างประเทศมากขึ้น รูปแบบธุรกิจที่เน้นการบริหารเชิงขยายให้เป็นหลักทำให้ อังกฤษซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาให้มีการสร้างระบบแฟรนไชส์เพื่อการขยายต่างประเทศ ส่งผลให้ระบบแฟรนไชส์เติบโตในประเทศอเมริกามากกว่า และทำให้ระบบแฟรนไชส์จากอังกฤษที่มีการพัฒนาภายหลังจากระบบอเมริกันไม่สามารถขยายตัวธุรกิจแฟรนไชส์ในทั่วโลกได้ทัดเทียมกับธุรกิจแฟรนไชส์สหรัฐ

ยุคธุรกิจแฟรนไชส์อเมริกาขยายตัว (’20 American Franchise Century)

ในยุคการขยายระบบแฟรนไชส์จากอเมริกา ที่ถือว่าเป็นต้นแบบระบบธุรกิจแฟรนไชส์ของโลก และเป็นช่วงของระบบธุรกิจอเมริกันได้มีการแผ่อิทธิพลทั่วโลก เรียกว่าเป็นช่วงของ American Century ลักษณะสำคัญของช่วงเวลาดังกล่าวจะอยู่ในช่วงกลางของทศวรรศที่ 20 หรือประมาณปี 1950-1980 เนื่องจากระบบการเมืองวัฒนธรรมของอเมริกาได้เป็นแบบอย่างของแนวคิดทันสมัย และมีปัจจัยด้านการเมืองที่ขยายอิทธิพลมาสู่เขตพื้นที่เอเชียมากที่สุด ระบบแฟรนไชส์เริ่มจากมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเข้ามาสู่การใช้ชีวิตประจำวันของคนอเมริกันเช่น รถยนต์ที่เพิ่มการเดินทางให้ประชาชนมากขึ้น การมีรูปแบบการให้บริการด้านไฮเวย์ที่สร้างรูปแบบสินค้าอาหารจานด่วน รูปแบบการใช้ตู้ทำความเย็นในบ้าน การมีโทรทัศน์ที่มีอิทธิพลจากโฆษณามากขึ้น ทำให้การใช้ชีวิตที่ต้องมีร่วมกับงานด้านบริการที่เน้นความรวดเร็วกลายเป็นระบบธุรกิจทันสมัยของสังคม และเริ่มมีการกระจายรูปแบบธุรกิจที่เป็นระบบสาขาต่อเนื่องสร้างรูปแบบการลงทุนการจัดการธุรกิจแฟรนไชส์จึงกลายเป็นระบบการจัดการที่ได้รับความนิยมของอเมริกา และเปิดทางให้ธุรกิจที่ขยายตัวได้ในประเทศมีโอกาสขยายสู่ประเทศข้างเคียงมากยิ่งขึ้น ธุรกิจแฟรนไชส์จึงกลายเป็นระบบธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อเนื่อง

ในช่วงที่ธุรกิจในประเทศอื่นที่มีการพัฒนารูปแบบโดยมีแฟรนไชส์อเมริกันเป็นผู้นำตลาด การสร้างระบบแฟรนไชส์ของประเทศต่างๆเป็น ประเด็นคัญที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์มีกระจายทั่วโลกและมีระบบธุรกิจเริ่มปรับมาสู่พื้นที่ที่มีลักษณะวัฒนธรรมใกล้เคียงซึ่งมีแนวโน้มการสร้างอิทธิพลมากกว่าการรับเอาวัฒนธรรมโดยตรงจากอเมริกา ระบบแฟรนไชส์จึงมีการก้าวกระโดยสู่ประเทศต่างๆเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับระบบแฟรนไชส์ในประเทศอเมริกาได้มีการขยายตัวไปสู่ทุกพื้นที่แล้ว จึงเปิดโอกาสให้แฟรนไชส์ในประเทศอื่นเพิ่มขึ้นทดแทนในพื้นที่เขตอื่นเพิ่มขึ้น

ยุคการพัฒนาแฟรนไชส์เอเชีย (’30 Asian Franchise Century)

ในยุคการพัฒนาระบบแฟรนไชส์ในกลุ่มประเทศเอเชียที่มีการพัฒนาธุรกิจและเป็นศูนย์กลางการค้าที่เริ่มมีอิทธิพลของตลาดโลก ที่เรียกว่า The Asian Century เป็นช่วงในทศวรรษที่ 21 (21stcentury) ที่คาดว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดเอเชียจะเข้ามาแทนที่อิทธิพลการค้าของ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในช่วงปี 2011 ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ AD B The Asian Development Bank พบว่า แนวโน้มการพัฒนาคุณภาพชิวิตของคนเอเชียเริ่มเทียบเท่าประชากรในยุโรปมากขึ้น ซึ่งการพัฒนารูปแบบดังกล่าวส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบธุรกิจแฟรนไชส์ต่อเนื่องเพื่อรองรับการบริโภคและรูปแบบการลงทุน

ความสำคัญของการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ในเอเชียขึ้นกับความสามารถรักษาอัตราการเติบโตของระบบธุรกิจและการรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจภาพรวมได้แค่ใหนเป็นสำคัญ ระบบแฟรนไชส์นั้นจำเป็นต้องพึ่งพาความพร้อมของการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตที่เป็นวิถีการเป็นคนเมือง (Urbanization) การใช้ชีวิตในรูปแบบสมัยใหม่จะต้องใช้การให้บริการและการพัฒนาการลงทุนที่ปรับเข้ากับสภาวะสังคมใหม่ไปด้วย ธุรกิจแฟรนไชส์ที่สามารถขยายตัวได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรม และธุรกิจจะต้องมีการปรับการบริหารจัดการทุกด้านให้เหมาะสมกับพื้นที่ ที่มีการขยายธุรกิจเข้าไปตลอดเวลา 

3.2 การเติบโตของระบบแฟรนไชส์ในตลาดสากล

 การคาดการณ์ระบบแฟรนไชส์ที่มีพื้นฐานการพัฒนาจากอเมริกาเป็นประเทศหลัก ดังนั้นศูนย์รวมด้านข้อมูลจึงเน้นการวิเคราะห์ตลาดแฟรนไชส์ในพื้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งการเติบโตแฟรนไชส์ในระบบสากลสามารถวิเคราะห์ภาพรวมจากการเติบโตธุรกิจในอเมริกาเป็นแนวดังนี้ 

การเติบโตแฟรนไชส์ใน สหรัฐอเมริกา ปี 2016 (คาดการณ์)

การรายงานสภาวะแฟรนไชส์เป็นการคาดการณ์ในปี 2016 ซึงเป็นการเก็บข้อมูลจาก สถาบัน IHS Economics ดำเนินการเพื่อนำเสนอ สมาคมแฟรนไชส์สากล ห่รือ International Franchise Association Educational Foundation. 

โดยใช้ข้อมูลของปี 2015 เป็นพื้นฐาน ซึ่งพบว่าระบบธุรกิจแฟรนไชส์ในสหรัฐนั้นมีสภาวะการเติบดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบจากปี 2014 โดยมีรายละเอียดแยกตัวชี้วัดดังนี้

จำนวนของธุรกิจแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น 1.7% ในปี 2015, 

การจ้างงานในระบบแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น (franchise employment was up) 3.0%, 

มูลค่าธุรกิจแฟรนไชส์ภาพรวมเพิ่มขึ้น (franchise output grew) 5.6%. 

ทั้งนี้ระบบแฟรนไชส์ที่มีการแบ่งประเภทธุรกิจหลักเป็น 10 ประเภทหลักดังนี้: 

  1. ด้านรถยนต์ Automotive
  2. ด้านบริการ Business Services 
  3. บริการบ้านพักที่อยู่อาศัย Commercial & Residential Services 
  4. ด้านโรงแรม รีสอร์ท Lodging 
  5. ด้านบริการบุคคล Personal Services 
  6. ด้านอาหารจานด่วน Quick Service Restaurants 
  7. ด้านร้านอาหารเต็มรูปแบบ Table/Full Service Restaurants 
  8. อสังหาริมทรัพย์ Real Estate 
  9. ด้านค้าปลีกกลุ่มอาหาร Retail Food 
  10. ด้านค้าปลีกสินค้าและบริการทั่วไป Retail Products and Services 

 

ตารางที่   แสดงการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์สหรัฐอเมริกา ในปี 2016 ตารางด้านล่างเป็นการแสดงถึงการเปรียบเทียบตัวชี้วัดในระบบแฟรนไชส์ระหว่างปี 2009-2016

การขยายตัวของระบบแฟรนไชส์นั้นจะคำนึงถึง อัตราการขยายตัวของแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีที่หมายถึง จำนวนสาขาของระบบธุรกิจที่มีการเติบโตเชิงจำนวนหรือ Establishments จากกราฟแสดงการขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์สหรัฐอเมริกา จะเห็นการเติบโตเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปี 2012 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 1.5 และมีการขยายตัวต่อเนื่อง จำนวนร้านค้าในระบบแฟรนไชส์มีจำนวนเกือบ 800,000 ร้านค้า (795,932 ร้านค้า) สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รับรู้จากดัชนี GDP ของประเทศ มีการอ่อนตัวเล็กน้อยในช่วงปี 2013 และเริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 1.7-2 จนถึงช่วงปี 2020 

อัตราการจ้างงานของระบบแฟรนไชส์ในสหรัฐรองรับการจ้างงาน 9.1 ล้านคน โดยมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 3 แสดงถึงรูปแบบธุรกิจมีการพัฒนาด้านจำนวนสาขา การกระจายรายได้และการสร้างงาน เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาระบบแฟรนไชส์ที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของประเทศ การส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและการสร้างหน่วยงานทั้งภาคเอกชน และการกำกับดูแลของภาครัฐที่แข็งแรงขึ้นกระตุ้นการขยายตัวระบบธุรกิจได้อย่างดี 

นอกจากนั้นมูลค่าของระบบธุรกิจมีการเติบโตร้อยละ 5.8 และมีมูลค่าที่ 944,000 ล้านเหรียฐสหรัฐ หรือประมาณ 33.04 ล้าน ล้านบาท(อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1ดอลลาห์เท่ากับ 35 บาท) อัตราการขยายตัวของรายได้ที่เกิดขึ้นจากระบบแฟรนไชส์สหรัฐนั้นมีแนวโน้มทิศทางเดียวกันกับอัตราเพิ่มขึ้นของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) อย่างต่อเนื่อง  

นอกจากนั้นข้อสังเกตของระบบแฟรนไชส์ในสหรัฐนั้น จะมีมูลค่าจากการบริหารธุรกิจผ่านรูปแบบการจัดเก็บรายได้จากต่างประเทศในรูปแบบของค่าธรรมเนียมในส่วนหนึ่ง ซึ่งจากรายงานของ IFA International Franchise Association ที่ให้ความเห็นว่า มูลค่าธุรกิจของแฟรนไชส์รายใหญ่ในอเมริกานั้นเกิดขึ้นจากรายได้ระบบแฟรนไชส์ต่างประเทศมากกว่ารายได้ในประเทศ เนื่องจากมีการขยายตัวของแฟรนไชส์ไปทั่วโลกและด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพของแฟรนไชส์สหรัฐจึงสามารถจัดเก็บและควบคุมระบบแฟรนไชส์ของตนได้อย่างดี

4. สภาวะระบบธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทย

จากการรวบรวมข้อมูลด้านระบบแฟรนไชส์ประเทศไทย พบว่าภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปี 2558 ทั้งนี้คาดว่าจะมีบริษัทที่เปิดให้ลงทุนแฟรนไชส์เพิ่มจำนวนประมาณ 400- 500 บริษัท แสดงว่าช่วงปี 2558 ธุรกิจแฟรนไชส์น่าจะมีอัตราการเติบโตของระบบธุรกิจไม่น้อยกว่า 10% โดยเปรียบเทียบจากจำนวนแฟรนไชส์ในปี 2557 และเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ลงทุนสนใจทำธุรกิจแฟรนไชส์นับตามจำนวนรายมากขึ้นโดยรวมประมาณ 3,000-5,000 ราย ทำให้อัตราการลงทุนในระบบเพิ่มมูลค่าขึ้นอีก 5-8% และมีความเป็นไปได้ว่า มูลค่าธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าประมาณการไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท อัตราส่วนเพิ่มขึ้น 10% จากมูลค่าประมาณการในปี 2557 (พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ สภาวะธุรกิจแฟรนไชส์ปี,2558)  

การเปรียบเทียบการเติบโตจากรายได้ระบบแฟรนไชส์กับ อัตราGDP รวมทั้งมูลค่ายอดขายของระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จะเห็นได้ว่าสัดส่วนระบบธุรกิจแฟรนไชส์กับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมีสัดส่วนที่ร้อยละ 15.11 และมีการจ้างงานเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.1  แนวโน้มการพัฒนาระบบธุรกิจแฟรนไชส์จะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

จากตาราง การจ้างงานในธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยจากการคาดการตามจำนวนสาขาประมาณทั้งสิ้น 40,000 สาขาของระบบธุรกิจและการคาดการณ์จำนวนพนักงานส่วนกลางของระบบธุรกิจ ประมาณการ 194,000 คน ในปี 2558 (โดยคิดเฉลี่ยจากค่ากลางจำนวนพนักงานสาขา 4.85 คนต่อสาขา) หรือคาดการการจ้างงานที่ 196,420 ตำแหน่งงาน

การจ้างงานถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาแฟรนไชส์ในแต่ละประเทศ เพราะระบบแฟรนไชส์เมื่อเติบโตเต็มที่จะกลายเป็นแหล่งการสร้างงานขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งการพัฒนาระบบเศรษฐกิจจากฐานภายในประเทศเอง ที่เกิดจากการจับจ่ายและลักษณะการดำรงชีวิตของคนในประเทศ และจะขยายฐานออกสู่ต่างประเทศได้ในระดับต่อไป 

การจ้างงานในระบบธุรกิจแฟรนไชส์จะแบ่งเป็นสามลักษณะคือ 

  1. การจ้างงานระดับผู้บริหาร  หมายถึงส่วนพนักงานที่มีหน้าที่จัดการระบบธุรกิจ เป็นกลุ่มผู้จัดการ ผู้บริหารหลักของธุรกิจที่อยู่ทั้งในส่วนสำนักงานกลาง และสาขา
  2. การจ้างงานพนักงานปฏิบัติงานประจำ หมายถึงกลุ่มพนักงานที่อยู่ในระบบการจ้างงานประจำ ที่มีหน้าที่หลักในทุกระบบกระบวนการทำงาน

และ 3. การจ้างงานตามเวลา(Part Time) หมายถึง พนักงานที่มีการจ้างตามระยะเวลา ตามโครงการหรือการจัดงานตามความต้องการของธุรกิจ ซึ่งรูปแบบการจ้างงานไม่ประจำ

รูปแบบการจ้างงานดังกล่าว ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละธุรกิจ อย่างไรก็ตามรูปแบบการจ้างงานจะเกิดประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและการพัฒนาฝีมือแรงงาน พัฒนาศักยภาพของธุรกิจไปพร้อมๆกัน รูปแบบการทำงานของระบบแฟรนไชส์ที่สมบูรณ์ จะช่วยพัฒนาระบบงานของธุรกิจขนาดเล็กผู้ลงทุนเองก็จะต้องผ่านการอบรมเข้าใจระบบการทำงานที่ดี ทีมงานพนักงาน ระดับลูกจ้างก็จะได้เรียนรู้การบริหารจัดการ การทำงานร่วมกับสำนักงานใหญ่ไปด้วย

 

ตารางที่    แสดงมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม GDP เปรียบเทียบมูลค่าคาดการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ ปี 2555-25558

ที่มา: a: Department of Business Development, Ministry of Commerce, Thailand 

b: Office of the National Economic and Social Development Board, Thailand 

c: การลงทุนในภาพรวม สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง

  1. การคำนวนจากผู้วิจัย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์,2557

 

อัตราการเติบโตในด้านสัดส่วนของยอดขายมีการอ่อนตัวเล็กน้อยในปี 2015 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2014 ที่มีสัดส่วนธุรกิจที่ ร้อยละ 14.2 และ 12.2 เมื่อเปรียบเทียบกับระบบค้าปลีกค้าส่ง ตามลำดับ สภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ไทยนั้นมีแนวโน้มที่สามารถเติบโตได้แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจที่แต่เดิมเคยมีภาวะการชะลอตัวลงรุนแรงทำให้ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน การลงทุนในระบบแฟรนไชส์นั้นถือว่าเป็นวิธีการเลือกลงทุนจากุรกิจที่เชื่อมั่นได้มากกว่า ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงที่มีโอกาสจากการสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง ด้วยระบบธุรกิจที่มีรูปแบบชัดเจนอยู่แล้ว มีระบบและมาตรฐานเชื่อถือได้ รวมทั้งจะต้องเป็นตรายี่ห้อที่คนไทยพอรู้จักคุ้นเคย นั่นคือ รูปแบบการตัดสินใจมาลงทุนในระบบแฟรนไชส์ 

 

กราฟที่   เปรียบเทียบสัดส่วนธุรกิจแฟรนไชส์ ค้าปลีกและมูลค่า GDP

ที่มา: a: Department of Business Development, Ministry of Commerce, Thailand 

b: Office of the National Economic and Social Development Board, Thailand 

c: การลงทุนในภาพรวม สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง 

และจากผลการสำรวจสภาวะธุรกิจแฟรนไชส์ จากปี 2542-2557 โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2557

จากกราฟแสดงผลเปรียบเทียบธุรกิจแฟรนไชส์กับระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีการอ่อนตัวในช่วงปี 2014-2015 ที่อัตราการเติบโตน้อยกว่าธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีปรับอัตราจากยอดขายที่สูงขึ้นเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามจะเห็นภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ในระยะ 10 ปีที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

กราฟที่  แสดงอัตราร้อยละการเติบโตยอดขาย ของระบบแฟรนไชส์ (Thailand Franchise Contribution Growth Rate)

ที่มา การสำรวจสภาวะธุรกิจแฟรนไชส์ จากปี 2542-2557 โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2557 

4.1 ภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยปี 2556-2557 (2015-16)

ปี 2557 จากการสำรวจด้วยแบบสำรวจมาตรฐานและจากฐานข้อมูลธุรกิจทั้งหมด นอกจากนั้นมีการสอบถามเชิงลึกของธุรกิจที่เป็นกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 94 กิจการระหว่างช่วงเดือน มกราคมถึงกรกฎาคม 2557 นอกจากนั้นได้เก็บข้อมูลภาพรวมในธุรกิจแฟรนไชส์พบว่า อุตสาหกรรมธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยมีบริษัทแฟรนไชส์ของคนไทยรวมทั้งสิ้น 389 บริษัท ทั้งนี้เป็นระบบธุรกิจแฟรนไชส์ตามระบบรวม 320 บริษัทและเป็นที่เรียกว่า “ธุรกิจไขอาชีพ” หรือ  Business Opportunity ทั้งหมด 69 บริษัท อัตราการเติบโตของระบบแฟรนไชส์ไทยในปีนี้โดยรวมมีค่าการขยายตัวคงที่ ธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยสามารถประมาณการสาขาหรือจุดจำหน่ายได้ 49,810 จุดจำหน่าย ทั้งนี้สามารถประเมิน มูลค่าของระบบธุรกิจโดยรวมประมาณการที่ 226,992 ล้านบาท (สองแสนสองหมื่นหกพันเก้าร้อยเก้าสิบสองล้านบาท) 

สำหรับเงื่อนไขการลงทุนภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์เชื้อสายไทยนั้น พบว่า ธุรกิจจะมีงบประมาณลงทุนต่อสาขาเฉลี่ย 1.36 ล้านบาทต่อสาขา มีค่าแฟรนไชส์เรียกเก็บที่ 239,100 บาท โดยมีอายุสัญญาที่ 4.63 ปี คิดค่า Royalty 2.08% ค่าบริหารการตลาด (Marketing Fee ) 1.08% ก็ถือได้ว่ามีความเป็นมาตรฐานมากขึ้นเมื่อเทียบกับระยะที่ผ่านมา ทั้งนี้ความเข้มแข็งในด้านขนาดองค์กรที่มีทีมงานสนับสนุนมากขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยที่ 25.28 คนต่อบริษัท และจำนวนสาขาที่จำนวนเฉลี่ยที่ 62.21 สาขาต่อตรายี่ห้อ แสดงถึงว่าภาพรวมของแฟรนไชส์ประเทศไทยนั้นเริ่มเข้าสู่ยุคการปรับตัวเข้ามาตรฐานมากขึ้น

 

กราฟที่    แสดงจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์จากปี 2542-2558(forecasted number)

ที่มา ผลการสำรวจสภาวะธุรกิจแฟรนไชส์ จากปี 2542-2557 โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2557

 

กราฟที่ แสดงมูลค่าธุรกิจแฟรนไชส์จากปี 2542-2558

ที่มา ผลการสำรวจสภาวะธุรกิจแฟรนไชส์ จากปี 2542-2557 โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2557

จากกราฟ แสดงมูลค่าธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าประมาณการ  ไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท (อัตราส่วนเพิ่มขึ้น 10% จากมูลค่าประมาณการในปี 2557)  ด้วยอัตราการลงทุนในระบบเพิ่มมูลค่าขึ้นอีก 5-8% จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 500 บริษัทในช่วงปี 2558 อัตราการเติบโตของระบบธุรกิจไม่น้อยกว่า 10% เทียบจากปี 2557  

 

การสำรวจค่าธรรมเนียมระบบแฟรนไชส์ในประเทศไทย

ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์นั้นเป็นผลลัพท์ของระบบแฟรนไชส์ที่แสดงได้ด้วย การจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆให้เกิดเป็นรายได้ให้กับธุรกิจแฟรนไชส์ได้จริง ธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศทั่วไปจะมีระดับรายได้จากระบบแฟรนไชส์ที่เกิดขึ้นจาก ค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือเป็นค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ ที่จะเป็นค่าใช้จ่ายขั้นต้นที่เกิดขึ้นจากการให้บริการแฟรนไชส์ซีในการจัดตั้งระบบธุรกิจให้เกิดขึ้นได้จริง และภายหลังจากการเริ่มดำเนินการของแฟรนไชส์ซีแล้ว รายได้ที่เกิดขึ้นจากสาขาที่มีการขยายตัวออกไปคือ แหล่งรายได้ที่จะสร้างอย่างต่อเนื่องให้กับแฟรนไชส์ซอร์ ที่เรียกว่า ค่าธรรมเนียมการบริหาร หรือ Royalty Fee

นอกจากความสำคัญของรายได้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงระบบธุรกิจที่ส่งผลให้ธุรกิจของแฟรนไชส์ซอร์แข็งแรงได้จริงหรือไม่แล้ว ในการขยายสาขาสู่ต่างประเทศยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากการกระจายธุรกิจแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศจะต้องมีรายได้หลักจากการผลประโยชน์ในธุรกิจแฟรนไชส์ผ่าน ค่าธรรมเนียมบริหารเป็นหลัก เนื่องจากระบบแฟรนไชส์ไม่นิยมในการขยายสินค้าข้ามประเทศเนื่องจากจะทำให้ต้นทุนของสินค้าภาพรวมสูงกว่า สินค้าในท้องถิ่น ยกเว้นในช่วงแรกของการดำเนินการ ดังนั้นรายได้ที่จะเกิดขึ้นของระบบแฟรนไชส์อยู่ที่แฟรนไชส์ซอร์สามารถบริหารจัดการแฟรนไชส์ซีต่างประเทศเหล่านั้นได้ดีเพียงใด 

ค่าธรรมเนียมแฟรนนไชส์ในประเทศ จะประกอบด้วย ค่าแรกเข้า ค่าบริหาร ค่าเปิดสาขาใหม่ และอาจจะสร้างรายได้จากวัตถุดิบสำคํญที่ต้องให้แฟรนไชส์ซีซื้อจาก แฟรนไชส์ซอร์ จะเป็นรายได้หลัก ปัจจุบันมูลค่าแฟรนไชส์ที่เป็นค่าแรกเข้าในการสำรวจปี 2557 นั้นอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2558 จะมีจำนวนลดน้อยลงจากสภาวะเศรษฐกิจไม่เหมาะต่อการขยายธุรกิจ จึงมีมูลค่าประมาณการที่ 1,400 ล้านบาท ดังตารางดังต่อไปนี้

 

ตารางที่   ข้อมูลด้านตัวเลขธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทย (ข้อมูลจัดทำในปี 2550-2557)

ที่มา  จาการสำรวจสภาวะแฟรนไชส์ปี 2558 พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

 

รายได้ที่เกิดขึ้นจากค่าธรรมเนียมคือ เป้าหมายของระบบการลงทุนที่พัฒนาธุรกิจเข้าสู่แฟรนไชส์ และที่สำคัญคือการสร้างตลาดในต่างประเทศที่จะช่วยเพิ่มการยอมรับในตราสินค้า ตราร้านค้า และยืดอายุธุรกิจให้ยั่งยืนเพิ่มขึ้น การสร้างรายได้ระบบแฟรนไชสจะต้องขึ้นกับความสามารถในการสนับสนุนหรือสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจได้อย่างเด่นชัด และการสร้างกำไรจากส่วนด้านหน้าระบบธุรกิจที่เป็นส่วนร้านค้าจะต้องแบ่งสัดส่วนกำไรสู่ด้านการบริหารจัดการ ส่วนหลัง หรือ Back Room จึงจะทำให้ระบบการสนับสนุนธุรกิจพัฒนาและสนับสนุนธุรกิจได้เต็มที่

ธุรกิจที่ไม่ได้วางแผนการออกแบบระบบการจัดเก็บหรือการสร้างการจัดการควบคุมที่ดีพอ ก็จะไม่สามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในระบบได้ และแนวโน้มธุรกิจจะไม่มีการพัฒนาต่อเนื่องหรือ ต้องเลิกดำเนินการหรือพัฒนาธุรกิจในส่วนของเจ้าของแฟรนไชส์ซอร์เท่านั้นกลายเป็นธุรกิจเชิง ระบบสาขา(Chain Store) จากตารางจะเห็นได้ว่าสัดส่วนของการจัดเก็บมีมูลค่าร้อยละ 0.56 เท่านั้น เป็นสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นที่มีน้อยแสดงถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บ หรือจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทย ไม่สามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม หรือไม่มีการจัดเก็บนั่นเอง 

การขยายต่างประเทศสำหรับธุรกิจที่ไม่มีความสามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม จะกลายเป็นปัญหาระยะยาว และไม่สร้างผลประโยชน์ต่อหน่วยงานในระบบเลย อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์โดยรวมของระบบธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยได้เช่นกัน 

 

การแบ่งธุรกิจแฟรนไชส์ตามประเภทธุรกิจ (Business Line and Performance)

การแบ่งแฟรนไชส์ตามประเภทในครั้งนี้ได้จัดกลุ่มเป็น 6 ประเภทคือ ความงาม ค้าปลีก เครื่อง บริการ การศึกษาและอาหาร ทั้งนี้ธุรกิจในแต่ละประเภทจะมีลักษณพื้นฐานในการการออกแบบธุรกิจคือ ด้านประสิทธิภาพของธุรกิจประกอบด้วย ยอดขายระดับสาขาต่อเดือน ยอกกำไรประมาณการต่อเดือน และในด้านการลงทุนประกอบด้วย งบประมาณการลงทุน พื้นที่ของสาขาที่จะต้องมี และสุดท้ายคือเงื่อนไชด้านการลงทุนแฟรนไชส์ ด้านค่าธรรมแรกเข้า เป็นต้น การสำรวจในปี 2558 พบว่าระบบธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยมีลักษณะพื้นฐานดังต่อไปนี้

ตารางที่    ข้อมูลการสำรวจของประเภทธุรกิจ และลักษณะด้านธุรกิจ

ที่มา จากการสำรวจธุรกิจแฟรนไชส์ปี 2557 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

ภาพรวมที่ได้ธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยมีขนาดเล็ก ขนาดพื้นที่สูงสุดที่ 133.48 ตารางเมตร และการลงทุนสูงสุดที่ 2.13 ล้านบาทต่อสาขา และมีอัตรากำไรเฉลี่ยสูงสุดเดือนละ 197,936 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงขนาดการลงทุนและเนื้อหาของธุรกิจ (Business Contentที่จะต้องมีการพัฒนาให้เหมาะสมก่อนที่จะมีการขยายระบบธุรกิจแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศ การจัดการบริหารแฟรนไชส์จึงขึ้นอยู่กับการวางรากฐานธุรกิจให้แข็งแรงเพียงพอ

4.2 ปัญหาและแนวทางการพัฒนาระบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

จากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวถึงขนาดธุรกิจ และประสิทธิภาพความน่าสนใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยที่ยังอยู่ในระดับปานกลาง และยังต้องการพัฒนาอย่างจริงจังมากขึ้น การวางเป้าหมายขยายตลาดต่างประเทศจึงต้องคำนึงถึงปัญดังต่อไปนี้

อัตราการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์ภาพรวมแล้วจะค่อนข้างมีการขยายตัวอัตราที่ช้ามากเกินไป การขยายสาขาในแต่ละช่วงเวลาน้อย การให้ความสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจการลงทุนระบบธุรกิจแฟรนไชส์ต่อประชาชนทั่วไปมีน้อย จึงกลายปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยพัฒนาอย่างเชื่องช้า เช่น การขาดการออกแบบธุรกิจที่เป็นสากลดังนั้นร้านจึงดูไม่มีเอกลักษณ์ การขาดรูปแบบมาตรฐานที่ควบคุมด้านคุณภาพและบริการ การขาดหน่วยงาน หรือ องค์กรธุรกิจไม่สามารถพัฒนาข้อมูลระบบเพื่อการบริหารจัดการที่ถูกต้อง และ การขาดการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมในทุกมิติ

รูปแบบการลงทุนของธุรกิจขาดระบบการสนับสนุนเช่น การกำกับดูแล การจัดหาแหล่งเงินทุน และความเข้าใจของผู้ประกอบการ ภาพรวมของธุรกิจในระบบมีความแตกต่างมากเกินไป คือธุรกิจแฟรนไชส์มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีคววามแตกต่างแต่เป็นกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ด้วยกัน ทำให้เกิดความสับสน ในขณะเดียวกันธุรกิจที่สามารถเติบโตมีน้อย และธุรกิจขนาดเล็กเกินไปขาดความเหมาะสมในความคุ้มค่าของการลงทุน กลับกลายเป็นจำนวนธุรกิจส่วนใหญ่ในระบบแฟรนไชส์ไทยเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนรายย่อย อัตราความสำเร็จจึงมีต่ำ รวมถึงการดำเนินธุรกิจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ภาพรวมแฟรนไชส์จึงกลางเป็นทางเลือก มากกว่าจะเป็นระบบธุรกิจหลักที่สามารถพัฒนาการลงทุนที่ดีขึ้นของประเทศ

4.2 ปัญหาระบบแฟรนไชส์ประเทศไทย ส่งผลต่อธุรกิจที่ทำให้ ขาดประสิทธิภาพ และศักยภาพในการขยายตัว และการสร้างทางเลือกในการลงทุนของประชาชน ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มในส่วนปัญหาการจัดการระหว่างแฟรนไชส์ซีและแฟรนไชส์ซอร์ดังนี้

4.2.1 ปัญหาความไม่เข้าใจของ แฟรนไชส์ซี ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจาก แฟรนไชส์ซี ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ

4.2.2 ปัญหาการจัดการตลาด ถ้าไม่ชัดเจนย่อมเกิดปัญหาเพราะไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ นอกจากนี้แฟรนไชส์ไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถขยายสาขาออกไปต่างประเทศได้เนื่องจากขาดความพร้อมการเตรียมการและการขยายสาขาในประเทศไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ความสำเร็จ

4.2.3 ปัญหาการบริหารและการควบคุมสาขา ให้ความสำคัญเฉพาะการเปิดสาขาที่เน้นแต่ตัวผลิตภัณฑ์ วิธีการผลิต แต่ไม่มีระบบการบริหารจัดการ ขาดความร่วมมือในการประสานงานระหว่างทั้งสองฝ่าย 

4.2.4 การมีแนวความคิดทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน

4.2.5 ปัญหาด้านกฎหมายและกฎระเบียบ ปัญหาที่พบมากที่สุดคือการละเมิดลิขสิทธิ์ การออกแบบระบบการควบคุมที่ไม่ชัดเจน

แนวทางการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยสู่ระดับสากล

จากปัญหาดังกล่าง ระบบแฟรนไชส์ไทยจะต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อการรองรับการขยายตัวในตลาดภูมิภาคดังต่อไปนี้

การกำหนดทิศทางในการขยายตัวให้ชัดเจน การกำหนดแผนงานระยะยาวให้กับระบบธุรกิจเพื่อทำความเข้าใจกับการเตรียมพร้อมที่ถูกต้อง การสร้างระบบแฟรนไชส์ที่แข็งแรงต้องมีการกำหนดเป้าหมายประเทศที่ต้องการขยายไปสู่พื้นที่นั้นๆชัดเจน การกำหนดพื้นที่ที่ขาดการวางแผนจะทำให้การลงทุนกระจายตัวในระยะยาวจะส่งผลให้ธุรกิจไม่เกิดภาวะกำไร และการพัฒนาทีมงานไม่ตรงกับความต้องการตลาด รวมถึงขาดความเข้าใจในพื้นที่ธุรกิจที่ขยายไปด้วย การกำหนดทิศทางของธุรกิจ ถ้าเป็นไปตามแผนงานส่งเสริมของหน่วยงานรับผิดชอบ จะช่วยให้การประสานงานร่วมมือมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เห็นผลการพัฒนาได้ชัดเจน การสนับสนุนธุรกิจจะต้องมีการวางแผนในระยะยาวมากขึ้นเพื่อให้การเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย

 

ารวางรูปแบบการพัฒนา นักธุรกิจ และบุคคลากรที่เป็นคนไทยและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจที่แท้จริง การพัฒนาทีมงานของธุรกิจเป็นปัญหาหลักการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ การพัฒนาบุคลากรจะต้องพัฒนาทั้งทีมงานภายในประเทศและทีมงานที่เป็นชาวต่างประเทศ เพื่อให้สามารถรองรับงานในประเทศที่ขยายไปสู่ได้จริง 

การสร้างยุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศที่ชัดเจน คือ การเน้นสื่อสารหรือการวางแผนร่วมตามความต้องการของธุรกิจ มากกว่าในเชิงนโยบายจากรัฐด้านเดียว เนื่องจากความต้องการของธุรกิจจะทำให้เป็นแนวทางการจัดการได้ชัดเจนมากกว่าเนื่องจากเป็นผู้ที่ปฎิบัติ 

การยกระดับคุณภาพแฟรนไชส์ไทย

การเปลี่ยนกระบวนการบริหารของระบบแฟรนไชส์เป็นขั้นตอน ซึ่งทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์เองมีความแตกต่าง (Inma, 2005 p.27) และนักวิจัยหลายท่านเช่น Lillis (Lillis et al ,1976 p.77) Oxenfelt (Oxenfelt and Kelly, 1968-1969 p.69) ได้ให้ความคิดว่า องค์กรของระบบ แฟรนไชส์นั้นจะแบ่งได้เป็นรูปแบบชัดเจน   เป็นประเมินถึงลักษณะสภาวะธุรกิจในแต่ละขั้นตอน และ กล่าวว่า ระบบแฟรนไชส์นั้นองค์กรจะมีการปรับตัวเองตามกลยุทธ์โดยไม่พัฒนาตามขั้นตอนของเวลาก่อนหลังแต่แนวโน้มของการปรับตัวหรือกลยุทธ์เป็นไปตามสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป (Carney and Gedajlovic, 1991 p.608) แม้ว่าการสำรวจจะพบว่าธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทยมีแนวโน้มการปิดธุรกิจลงค่อนข้างสูง แต่เมื่อมีการแบ่งรูปแบบธุรกิจในแต่ละกลุ่มออกจากกันโดยแยกตามปัจจัยทางธุรกิจ เช่น ขนาดธุรกิจ ระบบงาน การบริหาร รวมถึงผลประกอบการ พบว่า มีกลุ่มธุรกิจส่วนหนึ่งที่มีการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ถูกต้องสามารถขยายสาขาทั้งในประเทศและสู่ต่างประเทศได้อย่างดี แสดงถึงการพัฒนาระดับคุณภาพของแฟรนไชส์ในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านคุณภาพเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้

  1. การแข่งขันในระบบการค้าธุรกิจค้าปลีกและระบบแฟรนไชส์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้การยกระดับด้านคุณภาพของธุรกิจมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างทางเลือกในการลงทุนแฟรนไชส์ และการสร้างคุณภาพธุรกิจให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจไม่น้อยกว่า 30 ธุรกิจได้สร้างคุณภาพในส่วนที่เป็นพื้นฐานธุรกิจ และการสร้างบรรทัดฐานให้กับประเภทอุตสาหกรรมนั้น ผู้เป็นผู้นำในธุรกิจแต่ละด้าน เช่น อาหาร บริการ ค้าปลีก มีผู้นำในระบบธุรกิจแต่ละด้านชัดเจน การสร้างรูปแบบธุรกิจที่ถูกต้องส่งผลให้ธุรกิจแฟรนไชส์เหล่านั้นมีการขยายตัวต่อเนื่อง และสร้างการับรู้ในผู้บริโภคได้เช่นกัน 
  2. การยกระดับมาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ จากการที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้วางแนวทางการจัดระดับมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 และมีการจัดการอย่างเป็นระบบในช่วงปี 2551 ต่อเนื่องมาถึงปี 2552 ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การตรวจสอบธุรกิจในระบบเพื่อการออกเครื่องหมายตรามาตรฐานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจด้านนี้เริ่มมองหาข้อเปรียบเทียบที่มีวิธีการในการตรวจสอบ และมีหน่วยงานรับผิดชอบเข้ามาร่วมด้วยเพื่อสร้างความเป็นธรรม ในระยะยาวแล้วจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการกำกับธุรกิจได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น 
  3. การขยายธุรกิจแฟรนไชส์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจในเขตภาคพื้นเอเชีย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี เข้ามาลงทุนการสร้างสาขาหรือขยายแฟรนไชส์ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในด้านหนึ่งการเกิดกระแสแฟรนไชส์จากต่างประเทศจะทำให้เกิดความเข้าใจระบบแฟรนไชส์มากขึ้น ทั้งแฟรนไชซอร์ไทยได้เห็นต้นแบบและแฟรนไชซีก็จะเข้าใจเงื่อนไขของระบบแฟรนไชส์ระดับสากลมากขึ้น ธุรกิจด้านแฟรนไชส์มีการขยายงานข้ามประเทศเพื่อส่งผ่านในด้านวัฒนธรรมและการขยายแนวคิดเชิงการปฏิบัติที่เป็นธุรกิจรูปแบบเข้ามาสู่การลงทุนที่กระจายตัวเป็นเครือข่ายทำงานร่วมกัน แฟรนไชส์ที่แข็งแรงกลายเป็นตัวเปรียบเทียบ เป็นตัวแบบให้เห็นถึงกระบวนการทำงาน การวางแนวคิดและวิธีการการจัดแบ่งผลประโยชน์ที่กลายเป็นวิธีการที่เห็นได้ว่าจะช่วยให้กระบวนการแฟรนไชส์ทั้งระบบอยู่รอดร่วมกัน การยกระดับรูปแบบธุรกิจจึงเกิดขึ้นตามมาด้วย แฟรนไชส์ในประเทศมีโจทย์ทางธุรกิจเพิ่มขึ้นที่จะต้องพัฒนาตัวเองให้สามารถแข่งขันทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความพร้อมที่แท้จริงไม่เน้นเพียงแค่ขยายสาขาเป็นหลักโดยขาดคุณภาพและในที่สุดระบบที่สร้างก็ไม่สามารถขยายงานต่อได้  เงื่อนไขของระบบธุรกิจแฟรนไชส์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในปี 2557 จึงกลายเป็นสิ่งที่เร่งให้การพัฒนาภาพระบบธุรกิจแฟรนไชส์ให้เด่นชัดขึ้น และด้วยมาตรฐานของภาครัฐจะส่งให้เกิดการวางรูปแบบธุรกิจ แฟรนไชส์ที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น สร้างกระบวนการการคัดเลือกธุรกิจที่นักลงทุนเลือกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ลดปัญหาการหลอกลวงจากระบบธุรกิจที่เป็นจุดด้อยของธุรกิจแฟรนไชส์ในเชิงการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น 

4.3 วิเคราะห์ศักยภาพของแฟรนไชส์ประเทศไทย

ศักยภาพการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าการขยายธุรกิจระบบแฟรนไชส์ในประเทศ ธุรกิจที่สามารถขยายสู่ประเทศอื่นจะต้องสามารถพิสูจน์ความสำเร็จจากระบบการค้าในประเทศต้นทาง (Home Country) ได้จริงเสียก่อน ด้วยจำนวนสาขาที่สามารถพิสูจน์ศักยภาพของธุรกิจจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับธุรกิจแต่ละแบบแตกต่างกันไป นอกจากนั้นการปรับตัวธุรกิจที่จะขยายพื้นที่ใหม่ก็เป็นอีก ปัจจัยของการสร้างความสำเร็จให้กับแฟรนไชส์ซีในต่างประเทศ 

ศักยภาพที่ควรให้มีการพัฒนาในระบบแฟรนไชส์ของประเทศไทยจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้ 

4.3.1 ชนิดของธุรกิจ และรูปแบบการค้า ที่สามารถขยายสู่ต่างประเทศ ความเข้มแข็งของระบบการค้าด้านแฟรนไชส์จะต้องเน้นในด้านการสร้างเนื้อหาธุรกิจ ที้เรียกว่า Business Content หมายถึง รูปแบบสินค้าบริการที่สร้างคุณค่าเพียงพอที่จะให้ลูกค้าใช้บริการหรือซื้อหาสินค้าต่อเนื่องเนื่องจากธุรกิจสร้างความพึงพอใจได้จริง การสร้างเนื้อหาธุรกิจต้องเน้นการพัฒนา ความโดดเด่นตั้งแต่ รูปแบบร้านค้า สินค้าที่พัฒนาขึ้น การวางระบบการให้บริการ และการสร้างตราสินค้ารวมถึงกระบวนการตลาดการสื่อสารทั้งระบบ

ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยมีจำนวนน้อยรายที่มีการพัฒนาด้านเนื้อหาได้ดี ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของธุรกิจที่มีขนาดเล็ก และไม่มีการพัฒนารูปแบบร้านค้าที่เป็นมาตรฐาน รูปแบบสินค้าที่พัฒนาขึ้นยังไม่สร้างเอกลักษณ์ได้เพียงพอ ส่งผลให้จำนวนผู้ประกอบการระบบแฟรนไชส์ต้องเน้นการพัฒนาด้านต่างๆดังกล่าว เพื่อจะสร้างระบบแฟรนไชส์ให้ไปสู่ตลาดต่างประเทศได้จริง   

 

4.3.2 ตลาดที่มีศักยภาพ (Potential Market) ตลาดที่มีศักยภาพ หมายถึง ขนาดของผู้จับจ่ายและมีความต้องการสินค้ามีมากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ โดยดูจากจำนวนกลุ่มเป้าหมาย ภาพรวมเช่น จำนวนประชากร รายได้ต่อหัว หรือศักยภาพการจับจ่ายด้านต่างๆของประชากร และคาดการจำนวนที่สามารถกลายเป็นกลุ่มลูกค้าให้กับธุรกิจได้จริง การมีตลาดที่มีศักยภาพในแต่ละประเภทธุรกิจต้องมีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และการมองสินค้าบริการที่มีอยู่ใกล้เคียงที่สุดเพื่อคาดการณ์ศักยภาพของตลาด เช่น การคาดการการบริโภค อาหารจานด่วนอาจบ่งบอกถึงจำนวนธุรกิจ ราเมง ที่ต้องการขยายตัวไปสู่ตลาดนั้น ๆเป็นต้น ตลาดที่มีศักยภาพจะทำให้ธุรกิจมีเนื้อหาพัฒนาปรับปรุงธุรกิจได้เพิ่มขึ้น และจะส่งผลให้ธุรกิจมีศักยภาพตามขนาดตลาดไปพร้อมกัน ถ้าสภาวะตลาดเช่น ระบบเศรษฐกิจ รายได้ประชากรที่ไม่เติบโตจะส่งผลต่อศักยภาพตลาดทันที

สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยมีจุดด้อยในด้าน จำนวนสาขาในประเทศที่ยังไม่สามารถบ่งบอกถึงความสำเร็จเพียงพอต่อการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ การสร้างจำนวนจำเป็นต้องมีการเร่งและส่งเสริมให้ระบบแฟรนไชส์เป็นที่เข้าใจต่อการลงทุนในกลุ่มประชาชนที่มีศักยภาพ ในขณะเดียวกันธุรกิจแฟรนไชส์เองจะต้องสร้างธุรกิจให้มีความสามารถการกระจายตัวและบริหารจัดการระบบสาขาได้จริง 

 

4.3.3 อัตราการเติบโตคาดการณ์ นอกจากขยายตลาดที่มีศักยภาพแล้วจะต้องสามารถทำความเข้าใจถึง การเติบโตของความต้องการหรือ ผู้บริโภคที่มีอยู่ในประเทศเป้าหมาย การพัฒนาศักยภาพของธุรกิจให้เข้าใจในการขยายทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อมองภาพการเติบโตเป็นสิ่งที่จำเป็น ระบบแฟรนไชส์ที่เป็นรายขนาดเล็กซึ่งกลายเป็นระบบแฟรนไชส์ที่ขาดการบริหารจัดการที่ดี แต่เป็นส่วนใหญ่ของระบบแฟรนไชส์ในประเทศ การส่งเสริมในการวางแผนและเข้าใจในการคาดการตลาด รวมถึงการพัฒนาธุรกิจได้ด้วยตัวเอง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างจริงจัง

5. โอกาสธุรกิจแฟรนไชส์ในตลาด AEC

โอกาสของระบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในตลาด AEC+

ตลาดแฟรนไชส์ในภูมิภาค AEC โดยเฉพาะ กลุ่ม CLMV มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การออกแบบรูปแบบการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งด้าน สินค้า รูปแบบการออกแบบร้านค้า การสร้างกระบนการจัดการธุรกิจและการให้บริการ และสุดท้ายคือการสื่อสารกับผู้บริโภค ทั้งหมดจะต้องสามารถสร้างจุดตำแหน่งทางการตลาดให้กับธุรกิจอย่างชัดเจน การดำเนินการในแต่ละประเทศแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและระดับรายได้ของผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ การทำความเข้าใจธุรกิจที่ต้องลงลึกถึงการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง การจัดการในบางพื้นที่อาจแค่ส่งสินค้าผ่านผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่นสร้างรูปแบบตัวแทน แต่บางที่หากมีกำลังซื้อสูง สังคมเมืองนิยมความทันสมัย แม้ตลาดไม่ใหญ่ แต่อาจใช้รูปแบบการจัดตั้งร้านค้าที่เป็นแฟรนไชส์ที่ปัจจุบันแฟรนไชส์ประเทศไทยยังใช้พื้นที่ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่มีรายได้ปานกลางได้ค่อนข้างดี (สสว, 2555)  ในขณะที่ประเทศที่มีประชากรหนาแน่น เริ่มมีการขยายการลงทุนสร้างศูนย์การค้าหรือรูปแบบห้างสรรพสินค้ารองรับธุรกิจ จึงมีความต้องการร้านค้าขนาดเล็กเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ การจัดการธุรกิจในรูปแบบร้านค้าในต่างประเทศที่จะต้องออกแบบกระบวนการสื่อสารสร้างตรายี่ห้อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ดี โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีกด้วยจึงมีความจำเป็นมากขึ้น 

แนวทางหลักของการสร้างตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้หรือกลุ่ม AEC นั้นจะต้องเน้นการสร้างพันธมิตรทางการค้า รองรับกับกฎหมายที่อาจจะผูกพันกับการอนุญาตให้ต่างชาติลงทุนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือน้อยกว่าตามแต่ละประเทศกำหนด เท่ากับว่าทั้งด้านกฎระเบียบและความจำเป็นทางธุรกิจทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะต้องพึ่งความชำนาญของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในระบบโครงสร้างการดำเนินการ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากกว่าธุรกิจจากประเทศต้นทาง

  

ขนาดตลาดที่ใหญ่ขึ้นที่เกิดจากการรวมตัวหลายประเทศ

ระบบแฟรนไชส์เน้นการขยายธุรกิจตามจำนวนประชากร การคาดการเกิดจากกลุ่มเป้าหมายที่เห็นได้ชัดเจน ยิ่งการรวมเขตเศรษฐกิจส่งผลให้จำนวนประชากรของประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความเป็นไปได้ของการขยายธุรกิจ 

การค้าในพื้นที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asian Market) จะเป็นรูปแบบของธุรกิจขนาดเล็ก (Traditional Small Family Stores) จำนวนร้านค้ามีมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร (อัตราส่วนของร้านค้าต่อประชากร) เมื่อเทียบกับเขตประเทศที่พัฒนา รูปแบบการค้าแม้ว่าจะมีการแข่งขันค่อนข้างน้อยแต่ก็ยังมีอุปสรรคในเชิงของการลงทุนและการบริหารจัดการธุรกิจในพื้นที่  การจัดการระบบซับพลายเชนที่ซับซ้อนและมีรูปแบบเฉพาะ (Supply Chain Idiosyncrasies) การต่อต้านที่เกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่น รูปแบบการค้า ลักษณะการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกับที่คาดหวัง รวมถึงรูปแบบการต่อต้านของสังคมในธุรกิจข้ามชาติที่มีส่วนเข้าไปแย่งตลาดในธุรกิจดั้งเดิม นี่คือปัญหาของระบบค้าปลีกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวางแผนขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV อาจจะต้องคำนึงถึงคู่ค้า และการเข้าใจระบบครอบครัวซึ่งจะมีผลต่อการประเมินตลาดมากกว่าข้อมูลทั่วไป การคาดการณ์ที่ต่ำเกินไปต่อคู่แข่งในพื้นที่ก็อาจทำให้การขยายธุรกิจมีโอกาสล้มเหลวเช่นกัน ระบบแฟรนไชส์ถูกออกแบบเพื่อการแก้ไขความต่างของวัฒนธรรมและการต่อต้านการลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะต่อการขยายธุรกิจในเขตพื้นที่ที่มีการรวมตัวมากขึ้น

 

แผนภาพที่  แสดงวงรอบความสัมพันธ์ของกลุ่มประเทศที่มีความใกล้ชิดด้านระบบเศรษฐกิจและสังคม

Source: Neilsen Asean 2015 seeing arpound the corner in a new Asian landscape

 

จากภาพแสดงถึงการจัดตั้งกลุ่มสมาชิกประเทศเศรษฐกิจในเอเชีย โดยมีกลุ่มสมาชิกผู้ก่อตั้งประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศไทย อินโดนีเซีย บรูไร และฟิลิปปินส์ และกระจายสู่ประเทศในลำดับถัดมา ความใกล้ชิดเชิงรูปแบบความพร้อมของเศรษฐกิจจะมีความคล้ายคลึงตามวงรอบที่จัดตามภาพเช่นกัน ความพร้อมของการกระจายระบบธุรกิจมีแนวโน้มต่อการขยายตัวในลักษณะที่นำเสนอเช่นเดียวกัน

 

รูปแบบการลงทุนต่างประเทศยกระดับระบบธุรกิจ ระบบแฟรนไชส์นั้นเป็นการรับเอารูปแบบธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มของความสำเร็จเป็นแนวทางการประเมนเพื่อลงทุน ดังนั้นระบบแฟรนไชส์ที่สามารถขยายสู่ในพื้นที่ประเทศอื่น จึงมีความคาดหวังที่จะช่วยยกระดับของระบธุรกิจไปด้วย การพัฒนาระบบแฟรนไชส์จึงมีแนวโน้มพัฒนาไปกับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจดังนี้

การเชื่อมโยงของประเทศในกลุ่ม ด้านสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่น ระบบขนส่งด้านต่างๆ การเชื่อมระบบการสื่อสาร สำหรับ ไทยมีการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ร่วมกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นผลจากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategic: ACMECS) โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) และความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-คงคา (Mekong-Ganga Cooperation: MGC) โดยกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เหล่านี้ต่างก็ให้ความสำคัญ และความร่วมมือในการพัฒนาเครือข่ายและเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค

 

โอกาสในการเป็นศูนย์กลางของระบบธุรกิจ ทั้งการสร้างศูนย์การจัดการระบบแฟรนไชส์ต่างๆ

ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย มีแนวทางการพัฒนาประเทศโดยมุ่งให้ระบบประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางของระบบด้านต่างของธุรกิจ เช่นเดียวกับระบบธุรกิจแฟรนไชส์ ที่รัฐบาลต่างมุ่งหวังให้ประเทศเป็นการเชื่อมต่อระบบธุรกิจทั้งจากเอเชีย หรืออเมริกา

แนวทางของธุรกิจแฟรนไชส์จะช่วยรองรับระบบการท่องเที่ยวที่จะเป็นรายได้หลักของประเทศได้ด้วย การวางระบบการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ให้กลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน การลงทุน การพัฒนาจึงต้องมีการวางเป้าหมายและจัดการอย่างเป็นระบบ ให้มีแนวทางต่อการสร้างโอกาสในการสนับสนุนของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ในการขยายระบบธุรกิจในทุกรูปแบบได้  นอกจากนั้นระบบแฟรนไชส์ยังเชื่อมโยงในธุรกิจด้านต่างที่เริ่มมีความสำคัญ เช่น แนวโน้มการสร้างศูนย์กลางธุรกิจบริการ สุขภาพ ทั้งหมดจะเป็นแรงส่งให้ธุรกิจระบบแฟรนไชส์ขยายตัวได้มากขึ้น

5.1 สภาวะตลาดภาพรวมในตลาด AEC

ศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจด้านค้าปลีกค้าส่งนั้น ธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างตลาดได้ส่วนใหญ่จะมีความพร้อม ทั้งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกให้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้วยังจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทพาณิชยกรรมควบคู่ไปด้วย ซึ่งในหลายประเทศ การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังต้องอาศัยเครือข่ายผู้ประกอบการท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในลำดับต้นๆ เพื่อให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด ต้องเริ่มจากศึกษารสนิยม และพฤติกรรมของผู้บริโภคแต่ละประเทศในอาเซียน และต้องมองหาทำเลที่ตั้ง ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญของการทำธุรกิจค้าปลีก ซึ่งแต่ละธุรกิจก็จะมีทำเลที่เหมาะสมแตกต่างกันไปตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น ย่านศูนย์การค้า ชุมชน อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ เป็นต้น ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งและบริการตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาจึงมีปรากฏการของการเชื่อมโยงธุรกิจด้วยระบบที่เรียกว่า M&A ทั้งนี้ธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดกำลังเงินทุนจะเข้าซื้อธุรกิจในท้องถิ่นที่สามารถสร้างความรวดเร็วทั้งในแง่การมีทำเลร้านค้า และการเชื่อมโยงกับระบบการค้าที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามศักยภาพของการสร้างตลาดให้เติบโตได้นั้นกลับเป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าของธุรกิจได้จริง ผู้ประกอบการที่สามารถสร้างระบบการค้าที่ส่งมอบความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้จะส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโต

5.2 เป้าหมายประเทศสำหรับการค้าระบบแฟรนไชส์ Franchise Target Countries 

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่าง ๆ ทำให้การค้าระหว่าง ประเทศต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคแต่ละท้องถิ่น ไม่เฉพาะความแตกต่างในเรื่องของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าถึงผู้บริโภค การบริหารจัดการต่าง ๆของบริษัทในเครือในต่างประเทศและอื่น ๆ แม้ว่าแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันในทางวัฒนธรรม แต่เมื่อความเจริญ ทางการสื่อสารมีมากขึ้นทำให้การติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแนวโน้มการผสมผสานและถ่ายทอดวัฒนธรรมระหว่างแต่ละประเทศมากขึ้นจนในบางเรื่อง วัฒนธรรมสากล (global culture)

ทุกวันนี้ผู้ประกอบการที่อยากจะเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยนั้น ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับตลาดและลูกค้าเป้าหมายที่คาดว่าจะมาเป็น ลูกค้าของธุรกิจในระบบแฟรนไชส์เสียก่อน การเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าเป็นเรื่องสำคัญต่อการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและการผลิตสินค้าก่อนส่งถึงมือผู้บริโภคและวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเพราะ วัฒนธรรมเป็นผลรวมของการเรียนรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ คุณธรรม กฎหมาย ความสามารถ อุปนิสัย ซึ่งจะกำหนดพฤติกรรมความต้องการของบุคคลในสังคมใดสังคมหนึ่ง โดยที่คนในสังคมยอมรับและเผยแพร่ต่อไป

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในวัฒนธรรมแต่ละแหล่ง ต่างก็มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ไป ถึงแม้จะมีอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ มากระทบวัฒนธรรมเดิมเพื่อสร้างความเหมือนกันก็ตาม แต่ด้วยความแตกต่างหลายด้าน เช่น ภาษา ค่านิยม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการหรือนักการตลาดต้องปรับเปลี่ยนสินค้าหรือบริการเพื่อให้ สอดคล้องกับกลุ่มสังคมนั้น การวางเป้าหมายทางธุรกิจแฟรนไชส์จึงจำเป็นที่จะต้องวางแนวคิดเชื่อมโยงกับการใกล้ชิดวัฒนธรรมและความเชื่อมั่นต่อระบบธุรกิจแฟรนไชส์ที่จะต้องมีการวางแผนงานเชื่อมโยงในระยะยาว 

 

ภาพที่      แสดงวงแหวนระดับการพัฒนาแฟรนไชส์ของธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทย

ที่มา จากทีมงานบิสิเนสโค้ช แอนด์คอนซัลติ้ง จำกัด โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

 

คู่ค้าสำคัญของตลาดเอเชีย จีน ญี่ปุ่น อเมริกา อินเดีย รัสเซีย New CIA – China India + Asian

การวางเป้าหมายเริ่มจากการกำหนดประเทศ 4 กลุ่มหลักโดยมีรายละเอียดประเทศดังต่อไปนี้ 

กลุ่ม A ประกอบด้วยประเทศกัมพูชา สปป. ลาว และเมียนมาร์ (Cambodia, LOA, Myanmar)

กลุ่ม B ประกอบด้วย กลุ่มประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ( Vietnam, Philippines, Malaysia, Indonesia)

กลุ่ม c ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และบรูไน (Ch., Japan, Singapore, Brunei)

กลุ่ม d ประกอบด้วย ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East)

การจัดแบ่งกลุ่มประเทศ เพื่อเป็นแนวทางการจัดลำดับความสำคัญต่อการวางเป้าหมายการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ ความเป็นไปได้ที่เริ่มจากการขยายประเทศที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศ เช่นเดียวกับ แฟรนไชส์อเมริกาที่จะเริ่มขยายตัวจากแคนาดา ประเทศข้างเคียงเสียก่อนเริ่มสู่ประเทศที่ห่างออกไป ในกรณีระบบแฟรนไชส์ไทยที่ต้องใช้ความคุ้นเคยในตรายี่ห้อ ธุรกิจ รสนิยม วัฒนธรรมจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีโอกาสขยายตัวของธุรกิจได้มากขึ้น การจัดแบ่งกลุ่มประเทศ เริ่มจาก กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ ที่มีแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจที่สามารถรองรับธุรกิจจากประเทศไทยได้ สำหรับกลุ่มประเทศ B จะมีพื้นที่กระจายตัวห่างออกเพิ่มขึ้น และความแตกต่างของวัฒนะธรรมความนิยมต่อระบบธุรกิจของประเทศไทยที่ลดน้อยลง และจะต้องเน้นให้ธุรกิจที่มีศักยภาพมีโอกาสได้ขยายมากกว่าธุรกิจที่เป็นขนาดเล็ก กลุ่ม C และ D เป็นกลุ่มที่มีต้องใช้ศักยภาพของธุรกิจเพิ่มขึ้น ดังนั้นการวางรากฐานและวางเป้าหมายขยายจะต้องคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสความเป็นไปได้ของระบบธุรกิจแฟรนไชส์ประเทศไทย 

 

การคาดการขนาดตลาดคาดการณ์ตามประเทศเป้าหมาย Asia target countries (จากการรวบรวม และคำนวณโดยทีมที่ปรึกษาและข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์และเอกสารเผยแพร่ของสมาคมการค้าในกลุ่มประเทศเป้าหมายปี 2558)

ภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย

จำนวนบริษัทแฟรนไชส์ และจำนวนสาขา Franchise Market Size มีการคาดการณ์ระบบแฟรนไชส์ทั้งพื้นที่ 11 ประเทศ และเขตพื้นที่ประเทศในตะวันออกกลางดังนี้

จำนวน 11ประเทศ + Middle East

จำนวน 10,580 ธุรกิจ (Franchise Systems)

คาดการจำนวนสาขาของแต่ละธุรกิจ จะมีสาขาเฉลี่ย = 78 สาขาต่อระบบธุรกิจ

ดังนั้นขนาดตลาดจำนวนสาขา = 825,240 สาขา

คาดการณ์จำนวนสาขา = 825,240  สาขา มียอดขายเฉลี่ยที่  10 ล้านบาทต่อปี

ยอดขายเฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อปี คาดการณ์มูลค่าธุรกิจ 8- 10 ล้าน ล้าน บาท ต่อปี

ขนาดตลาดรวม 10,580 Franchise Systems

สรุป มูลค่ายอดขายระบบแฟรนไชส์ประเทศเป้าหมาย รวม = 8-10 Trillion Th Bath  หรือ 8-10 ล้านล้านบาทต่อปี

การประมาณการ และมูลค่าธุรกิจ คาดการณ์ตามเป้าหมายการขยายตลาดแฟรนไชส์

แนวคิดขนาดตลาดธุรกิจ แฟรนไชส์ สำหรับประเทศไทย (Franchise target market Size) สัดส่วนแฟรนไชส์ต่างประเทศ จากการเก็บข้อมูลจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์มีประมาณการได้ดังตารางดังนี้

 

ตารางที่    แสดงจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศเป้าหมาย 

 

ที่มา  Giles, Stephen et al, Franchising in the Asia Pacific Region, 2011

 

อัตราขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์ในแต่ละประเทศ

เป้าหมายแฟรนไชส์ไทย ‘2020 Thailand Franchise objectives การวางเป้าหมายธุรกิจแฟรนไชส์ตามการคาดการจะสามารถแบ่งส่วนแบ่งตลาด (Market Share in Target Market) = 3-5 % (Franchise Systems) จากจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งหมดในประเทศเป้าหมาย และคาดว่าจะต้องมีสัดส่วนของ จำนวนข้อตกลงธุรกิจ (Franchise Deals) อยู่ที่  330 สัญญา (Contracts) โดยคาดการความเป็นไปได้จากจำนวนขนาดตลาดและศักยภาพธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

สรุป เป้าหมายการขยายสาขาของแต่ละธุรกิจใน 5 ปี = 50 สาขา

 จำนวนสาขาคาดการณ์ในปี ‘2020 = 16,500 สาขา

 มูลค่ายอดขายรวม = 198,000 ล้านบาท/ปี ( 2.4% จาก Market Size)

 เท่ากับ 2.4% ของมูลค่าตลาดรวมตลาดเป้าหมาย*

 

การคาดการณ์จำนวนการขยายได้ประเมินตามศักยภาพประเทศและแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ต่อจำนวนธุรกิจที่ขยายสู่ประเทศเป้าหมาย โดยจัดทำตารางการคาดการดังนี้

 

ตารางที่    การขยายธุรกิจแฟรนไชส์คาดการณ์ ในประเทศกลุ่มเป้าหมายในระยะเวลา 5 ปีการดำเนินการ

* เป้าหมาย เป็นจำนวนสัญญาที่จะเกิดขึ้นในแต่ละประเทศ ทั้งนี้สัญญาแฟรนไชส์ดังกล่าวอาจจะเป็นรูปแบบแตกต่างกันได้ตามข้อตกลง แต่เน้นข้อตกลงที่สามารถขยายธุรกิจในประเทศนั้น ๆได้จริง

ประมาณการมูลค่าสิทธิระบบแฟรนไชส์ = 31,740 Ml Th Bath (1,000 Ml US Dollar

 

สำหรับการคาดการในกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาวและเมียนมาร์ เนื่องจากระบบแฟรนไชส์ในกลุ่มประเทศดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเนื่องจากระบบแฟรนไชส์อยู่ในระยะการพัฒนาเริ่มต้น ระบบแฟรนไชส์ไทยมีโอกาสที่จะเข้าไปแบ่งตลาดได้สูง และจำนวนคาดการในระยะเวลา 5 ปีดำเนินการน่าจะผลักดันระบบธุรกิจให้ขยายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 32 จากระบบแฟรนไชส์ทั้งหมดของแต่ละประเทศ

ในกลุ่ม เวียดนาม มาเลเซีย มาเลเซียรวมทั้งอินโดนีเซีย จะมีความซับซ้อนในการทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากมีระยะที่ตั้งห่างจากประเทศไทย และแนวคิดวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้ประกอบการยังขาดความคุ้นเคย และแนวทางการขยายธุรกิจ การวางเป้าหมายอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5 หรือมีจำนวนแฟรนไชส์ประมาณ 30 ราย  และสัดส่วนในประเทศจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ บรูไน ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน และมีความซับซ้อนในด้านระบบธุรกิจ และการขยายลงทุนในต่างประเทศ จึงมีสัดส่วนการแบ่งตลาดแฟรนไชส์น้อยลงกว่าพื้นที่อื่น เช่นเดียวกับประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง 

ดังนั้นแนวทางการพัฒนาที่มุ่งระบบแฟรนไชส์สู่ตลาด กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว คือ ระดับความสำคัญที่จะต้องเริ่มพัฒนาต่อเนื่องพร้อมกันในทุกด้าน และตารางต่อไปจะสรุปจำนวนระบบสัญญาในการขยายตัวแฟรนไชส์ที่มีจำนวนดังต่อไปนี้

ตารางที่    การคาดจำนวนสัญญาแฟรนไชส์เป้าหมายที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเป้าหมาย 

ที่มา การคำนวณจากกลุ่มประเทศโดยทีมวิจัย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2558

 

มูลค่าธุรกิจแฟรนไชส์ที่วางเป้าหมายสู่ตลาดต่างประเทศ

มูลค่าธุรกิจจะเกิดจากรายได้ที่เป็นค่าธรรมเนียมเป็นหลัก โดยแบ่งระบบการจ่ายรายได้ดังนี้

เป้าหมายรายได้จากระบบFranchise

กลุ่มค่าธรรมเนียมจ่ายครั้งเดียว

ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์แรกเข้า Franchise Fee = 1,267 Ml Bath

ค่าธรรมเนียม Master Franchise 60%

ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์แบบหลายสาขา Multi Units = 20%

ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ต่อสาขา Single Unit= 10%

ค่าบริหารการเปิดสาขาใหม่ New outlet opening Fee = 825 Ml Th Bath

รวมรายได้ค่าธรรมเนียมที่จ่ายครั้งเดียว (One Time Payment Total in 5 years) = 2,092 Ml Th Bath

กลุ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมต่อเนื่องรายปี

ค่าธรรมเนียมบริหารต่อปี (Royalty per year ) = 3,960 Ml Th Bath per Year

รายได้จากการขายวัตถุดิบร้อยละ 5 จากยอดขายรวมต่อปี (Raw Mat 5% of Total Sales Volume) = 9,900 Ml Th Bath per Year

รวมมูลค่ารายได้จากระบบแฟรนไชส์ต่อปี = 13,860 Ml Th Bath per Year.

 

ภาพที่  แสดงรูปแบบรายได้ของระบบแฟรนไชส์ที่สัดส่วนจากค่าธรรมครั้งเดียวและค่าธรรมเนียมต่อเนื่อง

ที่มา จากการคำนวณค่าคาดการณ์ระบบแฟรนไชส์ บ.บิสิเนสโค้ชแอนด์คอนซัลติ้ง จำกัด  โดยพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

 

การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของรายได้ (Franchise Cash Stream Value)

การประเมินมูลค่าของระบบแฟรนไชส์นั้นเนื่องจาก รายได้ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะการสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ Value Added Sales Amount คือ การสร้างรายได้ที่ไม่มีต้นทุนเป็นสินค้า (noncost base income) เป็นลักษณะรายได้จากค่าบริการที่เป็นให้บริการงานด้านการให้คำปรึกษา จัดการธุรกิจ รูปแบบการประเมินค่าเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่เกิดขึ้นจากการส่งออก จึงจะต้องคิดคำนวณมูลค่าจริงที่ควรจะเกิดขึ้นจากระบบการค้าแฟรนไชส์ 

การคำนวณรายได้จากระบบแฟรนไชส์จึงคิดย้อนจากมูลค่าในการส่งสินค้าออกนอกประเทศดังนี้

  1. อัตราการสร้างกำไรขั้นต้นของธุรกิจการส่งออก(Export Base) ประเมินที่ 8% Gross Margin
  2. รายได้ที่เกิดจากระบบแฟรนไชส์เป็นรายรับเทียบได้เท่ากับส่วนกำไรขั้นต้น Gross Margin
  3. มูลค่ารายรับต่อปี ที่เกิดขึ้นจาก ค่าธรรมเนียม ค่าวัตถุดิบรวมมูลค่า = 11,720 ล้านบาท ต่อปี

ดังนั้นประเมินมูลค่าที่เกิดขึ้นในรูปแบบการส่งออก จะได้มูลค่าเท่ากับ = 146,500 ล้านบาทต่อปี

5.3 ปัจจัยต่อการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

ปัจจัยสำคัญต่อการบริหารจัดการแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่คือ ปัจจัยภายนอก ด้านพื้นที่ระยะทางที่ห่างจากกันทำให้มีความยุ่งยากต่อการบริหารจัดการ ด้านต่อมาเป็นปัจจัยการตลาดศักยภาพและรายได้ของกลุ่มเป้าหมาย ปัจจัยภายในได้แก่ความเข้มแข็งของระบบธุรกิจที่ต้องการขยายงานสู่ต่างประเทศ และปัจจัยที่ 3 คือ รูปแบบที่ธุรกิจขยายตัวที่มีหลายลักษณะ แสดงปัจจัยได้ในภาพดังนี้

 

ภาพที่   แสดงปัจจัยต่อการบริหารจัดการระบบแฟรนไชส์ระหว่างประเทศ

ที่มา   International Franchise Assessment Model, E. Hachem Aliouche and Udo A. Schlentrich, 2009

 

รูปแบบการพัฒนาธุรกิจสู่ตลาดเป้าหมายFranchise System

รูปแบบของระบบธุรกิจในการนำเสนอนอกจากระบบแฟรนไชส์แล้ว ธุรกิจอาจปรับการรูปแบบได้ดังนี้

  1. Licensing การบริหารจัดการผ่านระบบไลเซ่น หรือ การให้สิทธิใช้เครื่องหมายการค้า
  2. Dealership เน้นรูปแบบการจัดการผ่านการส่งออก นำเข้าสินค้าเป็นหลักในช่วงต้นเพื่อสร้างตลาด
  3. Joint Venture เป็นการลงทุนร่วมในรูปแบบการจัดตั้งธุรกิจร่วมกัน และแบ่งสัดส่วนการถือครองธุรกิจ
  4. Direct Investment เป็นการลงทุนเปิดธุรกิจโดยเจ้าของธุรกิจเสียก่อน เพื่อทดลองตลาด หรือเป็นการเปิดตัวระบบธุรกิจก่อนที่จะเริ่มขายแฟรนไชส์
  5. M&A รูปแบบของการที่เข้าซื้อกิจการ ที่มีอยู่แล้วเพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจในระบบแฟรนไชส์

ทั้งนี้รูปแบบทั้ง 5 แนวทางสามารถปรับใช้กับการนำเสนอธุรกิจในต่างประเทศได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องเข้าใจและสามารถที่จะพัฒนารูปแบบธุรกิจดังกล่าวได้ถูกต้องเป็นสำคัญ

 

โอกาสการเติบโต ในตลาดอื่น Thailand Franchise growth opportunities.

การสร้างตลาดด้วยระบบแฟรนไชส์  330 Franchise Systems จะสร้างโอกาสต่อเนื่องดังต่อไปนี้

อัตราการเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า – 20 % per year (existing business) 

  สร้างตลาดสำหรับรองรับธุรกิจใหม่ที่จะเกิดได้ง่ายมากขึ้น

  การสร้างความนิยมกระจายตัวสู่ตลาดวงล้อมนอก เช่น อินเดีย รัสเซีย และประเทศอื่นตามมา

  ระบบแฟรนไชส์จะเป็นแรงส่งเสริมการปรับรูปแบบธุรกิจส่งออกสู่ธุรกิจแบบใหม่ (Modern Business Model)

   การวางเป้าหมายการเติบโต ในการมีสัดส่วนในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้น เป็น = 5% ของตลาดเป้าหมายรวม หรือ การขยายสาขามากกว่า  50,000  สาขา (จำนวนสาขาในตลาดเป้าหมาย คาดการณ์อยู่ที่ 1 ล้านสาขา)

6. บทบาทภาครัฐในการส่งเสริมระบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในตลาด AEC+

ในรูปแบบระบบแฟรนไชส์นั้น กลุ่มนักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท ระดับผู้จัดการบริษัทชั้นต้นและพนักงานระดับกลาง ที่มีเงินสะสมไม่น้อยกว่าสามแสนจะเป็นกลุ่มหลักที่สนใจระบบธุรกิจแฟรนไชส์ รูปแบบการให้สินเชื่อของภาคการเงินจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาระบบแฟรนไชส์อย่างมาก พื้นฐานสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ก็คือ การสร้างเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ลงทุนในแต่ละคน เงื่อนไขวิธีคิดของระบบแฟรนไชส์ถูกออกแบบสร้างขึ้นเพื่อตอบปัญหาของบางธุรกิจหรือผู้ลงทุนที่เหมาะสม  ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์จะยิ่งมีน่าสนใจทั้งการลงทุนและสร้างธุรกิจเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากระบบธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแต่จะมีความผันผวนตามความไม่แน่นอนทางการเมือง เมื่อไรก็ตามนักลงทุนคาดการณ์เรื่องราวบ้านเมืองได้นั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนไปทันที  

สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์นั้นถือเป็นภาคการลงทุนระดับประชาชน ที่มีการพัฒนาธุรกิจร่วมลงทุนขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องมีการส่งเสริมพัฒนาภาพรวมธุรกิจจากภาครัฐอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง ผลการสร้างความเข้าใจในระบบธุรกิจจะทำให้ประชาชนเกิดตื่นตัวต่อการลงทุนที่จะช่วยทำให้กระบวนการธุรกิจแข็งแรง นอกจากนั้นการเน้นการส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนด้านเงินลงทุนของสถาบันการเงินจะช่วยทำให้ระบบแฟรนไชส์ถูกต้องและแข็งแรงมากขึ้น

 

ภาพที่   แสดงองค์กรทั้ง 3 ด้านสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการขยายตัวระบบแฟรนไชส์ในประเทศไทย

ที่มา  พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2558

 

บทบาทภาครัฐ และภาคการศึกษา ในการพัฒนาแฟรนไชส์

ในประเทศชั้นนำของอาเซียน เช่น สิงคโปร์ บูรไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย กระแสการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้สนองตอบความเปลี่ยนแปลงของการทำธุรกิจให้ เป็นการสร้างผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นกระแสสังคมในที่สุด ซึ่งสำหรับประเทศไทยรัฐบาลให้การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการตลอดจนการสร้างธุรกิจ อย่างจริงจังตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ผ่านโครงการ เช่น Startup Thailand และด้วยความต้องการสร้างประเทศสู่ความสำเร็จตามโครงการและยุทธศาสตร์สำคัญ นี้ ความเข้มข้นของการขับเคลื่อนจึงส่งผลกระทบมายังระบบการศึกษาที่ต้องปรับตัว ให้ตอบสนองความต้องการ ในการสร้างคนให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสถาบันการศึกษาหลายแห่งปรับตัวให้มี แผนกลยุทธ์ที่โดดเด่นด้านการสร้างความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ต่าง ๆ ให้มีบทบาทในการบ่มเพาะผู้ประกอบการที่สร้างงานและพัฒนารูปแบบชีวิตที่ดีขึ้นให้กับสังคม รวมทั้งเป็นผู้มีความสามารถและทักษะสำคัญเพื่อเป็นผู้ประกอบการด้วยนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่ ความมุ่งหวังในการสร้างผู้ประกอบการของอนาคตนี้จึงส่งผลให้สถาบันการศึกษาของไทยและของ ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนหันมาปรับตัว 

  สำหรับสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการส่งเสริมการวิจัยต่อยอดผ่านความร่วมมือกับภาคธุรกิจใน อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ มีเป้าหมายตามแผนพัฒนาประเทศให้เป็นแหล่งการวิจัยต่อยอดด้วยนวัตกรรมที่ เรียกว่า Singapore Research Innovation Enterprise 2020 Plan ซึ่งมุ่งเน้นการวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม มุ่งเป้าพัฒนาความก้าวหน้าด้านการผลิตและวิศวกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับ Ranking ของโลก อาทิ Nanyang Technological University มีความร่วมมือในการพัฒนาโครงการสร้างผู้ประกอบการผ่านนวัตกรรมใหม่ ๆ กับบริษัทชั้นนำของโลก เช่น โครงการ RollsRoyce @ NTU Innovation Lab เพื่อสร้างพื้นที่และโอกาสในการพัฒนาผลงานวิจัยนวัตกรรมให้กลายเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดได้จริง ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาสิงคโปร์สู่ Smart Nation 

ประเทศอื่นในประชาคมอาเซียนที่พัฒนาโครงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับการพัฒนาธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และอุตสาหกรรม เช่น ราชอาณาจักรบูรไนดารุสซาลาม มีมหาวิทยาลัย Universiti Tecnologi Brunei ที่ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของอังกฤษด้านพลังงานน้ำมัน ได้แก่ Amec, Foster, Wheeler เพื่อพัฒนาบัณฑิตให้มีคุณสมบัติตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้เต็มที่ เช่นเดียวกับประเทศเหล่านี้ ประเทศไทยได้พัฒนาให้มีความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาและภาคธุรกิจใน อุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีการพัฒนาโครงการร่วมกับหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ในการสร้างสรรค์โอกาสให้มีการเรียนรู้ต่อยอดแก่ชุมชน สังคม และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้งในและนอกระบบการศึกษา มีแหล่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้ทักษะและสมรรถนะด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเป็นผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ เพื่อมุ่งให้มีการขับเคลื่อนภาคธุรกิจตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศ ทิศทางดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการที่ตรงกัน (จอมขวัญ ผลภาษี, 2016)

ระบบธุรกิจแฟรนไชส์ต้องการความรู้การจัดการ การวางแผน การออกแบบธุรกิจที่ทันสมัยมากพอในการพัฒนาคุณภาพของระบบธุรกิจ การศึกษาทั้งในระบบและภาคอาสาหรือ Voluntary Education ที่มุ่งเน้นทักษะของผู้อยู่นอกการศึกษาในระบบสามารถเข้าถึงและพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ การส่งเสริมระบบการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบจึงต้องมีการส่งเสริมไปพร้อมกันด้วย 

 

ภาคการเงินกับการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

เพื่อตอบสนองการลงทุน ให้กับนักลงทุนรายย่อยที่มีความสามารถและตั้งใจทำธุรกิจด้วยตัวเองแต่ขาดเงินทุนเริ่มต้น ดังนั้นการมีรูปแบบการให้กู้ด้วยการลดหย่อนในด้าน การมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยวิธีที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงกับนักลงทุนรายเล็ก จะเป็นการสร้างโอกาสที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนด้วยตัวเองของผู้ประกอบการ

ลดปัญหาการลงทุนจากธุรกิจที่ไม่เหมาะสม  เนื่องจากเมื่อนักลงทุนรายเล็กไม่สามารถลงทุนในธุรกิจที่มีขนาดใหญ่หรือการลงทุนสูง อาจหันไปซื้อธุรกิจที่มีขนาดเล็กเกินไปไม่เหมาะสมต่อผลการประกอบการ เท่ากับทำให้ธุรกิจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เพียงพอ และจำเป็นต้องหยุดดำเนินในที่สุด

การส่งเสริมให้เกิดการขยายสาขา จำนวนที่ทำให้ระบบแฟรนไชส์เข้มแข็งและพัฒนาได้จริง เมื่อมีโอกาสการลงุทนจากการสนับสนุนด้านการเงินที่ถูกต้องจากภาคการเงิน  ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างรู)แบบการกระจายรายได้สู่ทุกพื้นที่เพิ่มขึ้น ด้วยการการพัฒนาระบบการเข้าถึงเงินทุนโดยสถาบันเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้จะต้องดำเนินการด้านการส่งเสริมความเข้าใจในการลงทุนระบบแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น 

แนวคิด การตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ ด้วยการสร้างกองทุนจากงบประมาณภาครัฐและเมื่อผู้ที่ได้รับการสนับสนุนประสบความสำเร็จให้มีข้อกำหนดในการตอบแทนกองทุนด้วยการจ่ายผลกลับเข้ากองทุน เพื่อที่จะรักษาระดับเงินทุนของกองทุนในระยะยาวสามารถส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจในระยะยาวได้

 

  • อภิปรายและข้อเสนอแนะ

การวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะต้องบูรณาการด้านกิจกรรมและการบริหารจัดการโครงการให้ครบด้าน ทั้งนี้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาฯครั้งนี้แบ่งแนวทางทั้งสิ้น 8 ด้านดังต่อไปนี้

  1. การจัดทำโครงการของภาครัฐที่จะส่งผลให้เกิดการสนับสนุนระบบแฟรนไชส์ เป็นการกำหนดกิจกรรมสนับสนุนโดยให้สามารถสร้างเป็นกิจกรรมประจำต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มงานคือ กิจกรรมด้านการแสดงงานแฟรนไชส์ในภูมิภาคเช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์  อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศหลักในกลุ่มเอเชียที่มีงานแฟรนไชส์ที่เป็นมาตรฐาน นอกจากนั้นในการพัฒนาธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น งานแสดงในฮ่องกง จีนเซียงไฮ้ และญี่ปุ่น จะช่วยเปิดแนวทางให้กับธุรกิจแฟรนไชส์ได้เข้าใจกระบวนการขยายระบบธุรกิจได้เป็นอย่างดี 

นอกจากนั้นการวางโครงการที่เน้นการพัฒนาความพร้อมให้กับธุรกิจที่ต้องการร่วมกิจกรรมเพื่อขยายงานต่างประเทศ ก็จะต้องจัดทำเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

สรุปรูปแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์สู่ตลาดต่างประเทศมีสองประเภทคือ 

  1.  การร่วมแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ในภูมิภาค 
  2. การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ

 

  1. การจัดลำดับความพร้อมของธุรกิจที่ต้องการพัฒนา ยกระดับธุรกิจแฟรนไชส์ การจัดแบ่งโครงการให้สามารถรองรับความต้องการการพัฒนาธุรกิจที่แตกต่างกัน ธุรกิจกลุ่มรายใหม่ที่อาจจะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และสามารถพัฒนาต่อยอดสู่ตลาดต่างประเทศได้ หรือกลุ่มที่จะต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้พร้อมในประเทศก่อน 

กิจกรรมในลำดับต่อมา คือการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ที่ผ่านโครงการต่างๆของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาแล้ว แต่ยังจะต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง

และโครงการประเภทที่ 3 คือ การเน้นพัฒนาสร้างความพร้อมให้กับธุรกิจที่มีความต้องการขยายไปสู่ต่างประเทศ และมีความพร้อมในด้านต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่าย ทีมงาน และความพร้อมของระบบธุรกิจ การแบ่งโครงการตามลำดับจะแบ่งได้ดังต่อไปนี้

  1. การพัฒนารายใหม่ – โครงการช้างเผือก B2B
  2. การพัฒนารายเดิม สร้างความเข้มแข็ง
  3. การพัฒนาเพื่อการสร้างตลาดในต่างประเทศ

 

  1. การจัดตั้งโครงสร้างหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระบบแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ เน้นรูปแบบการทำงานทีมที่รับผิดชอบโครงการต่อเนื่องได้ โดยมีการจัดแบ่งจากภาระกิจ โดยเน้นการแบ่งการบริหารจัดการดังนี้ 
    1. การแบ่งทีมงานภาครัฐตามภาระกิจ และกิจกรรม  เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานสำนักพัฒนาและส่งเสริมการค้า ได้มีภารกิจที่หลากหลายดำเนินการอยู่แล้ว การจัดระบบเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นจะช่วยให้การบริหารจัดการ และการพัฒนาธุรกิจได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

ภาพที่   แสดงกิจกรรมหลักในการสนับสนุนธุรกิจแฟรนไชสของหน่วยงาน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 

แฟรนไชส์

ที่มา การวิเคราะห์กิจกรรมการสนับสนุนของกรมพัฒฯ โดย พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2559

 

จากแผนภาพ ภารกิจสำคัญ ประกอบด้วย 8 กิจกรรมหลัก เช่น การสร้างระบบแฟรนไชส์ Pre-Incubation program  นอกจากนั้นมีการให้คำปรึกษา (Consulting)  การฝึกอบรม  การส่งเสริมตลาดต่างประเทศ  การพัฒนาแฟรนไชส์ในกิจกรรมพิเศษตามนโยบายที่เกิดขึ้น เช่น การช่วยเหลือภาคใต้ หรือกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานเพื่อสังคมต่างๆเป็นต้น การสนับสนุนด้านการเงิน  การส่งเสริมภาพลักษณ์ด้วยการประชาสัมพันธ์ และสุดท้ายคือ การให้บริการที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การขึ้นทะเบียนแฟรนไชส์ การออกเครื่องหมายรับรองต่าง ๆ 

นอกจากนั้นได้นำเสนอรูปแบบการบริหารองค์ในการรองรับกิจกรรมดังกล่าว ตามรูปแบบแผนผังองค์กรดังนี้

 

ภาพที่     แสดงแผนผังหน่วยงานที่บริหารจัดการโครงการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์

แฟรนไชส์

ที่มา  ข้อนำเสนอโครงสร้างทีมบริหารจัดการโครงการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2559

 

  1. การวางโครงการ ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อความต่อเนื่องและความเชี่ยวชาญ

แนวทางการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์เริ่มจากแนวคิดการแบ่งศักยภาพธุรกิจเป็น 3 ระดับคือ 

  1. กลุ่ม A ที่มีศักยภาพสูงที่พร้อมขยายธุรกิจ
  2. กลุ่ม B เป็นกลุ่มที่เริ่มมีความสามารถในการขยายตัว
  3. และกลุ่ม C เป็นกลุ่มเริ่มต้น ยังมีความต้องการการพัฒนาในอีกระยะเวลาก่อนการเติบโต

ความต้องการในการสนับสนุนสามารถแบ่งเป็นสองส่วนคือ การพัฒนาเชิงธุรกิจ  Business Development Layer ที่เป็นส่วนการพัฒนาเน้นในตัวระบบธุรกิจ ประกอบด้วยการพัฒนาความรู้ในการจัดการธุรกิจ การสนับสนุนด้านการเงิน และ การพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์ระดับสากล 

ส่วนของการบริหารจัดการภาครัฐ หรือ Government Policy Support ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของภาครัฐที่จะมีผลต่อการเติบโตในภาคกว้าง (Macro Factors) เช่น การกำหนดกฎหมาย การวางนโยบายด้านภาษี  และการพัฒนากิจกรรมการส่งเสริมต่างๆในภาครัฐเพื่อกระตุ้นการลงทุนในระบบแฟรนไชส์

 

ภาพที่    แสดงความแตกต่างของธุรกิจแฟรนไชส์และความต้องการของธุรกิจทั้งด้านธุรกิจและนโยบายรัฐ

แฟรนไชส์

ที่มา  พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2550

 

จากแนวคิดดังกล่าวที่ธุรกิจในระบบแฟรนไชส์มีความต้องการในการพัฒนาแตกต่างกัน จึงทำให้การจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ สามารถจัดแบ่งเป็น 3 ระยะได้ดังนี้

  1. การพัฒนา และสร้างความเข้มแข็ง เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างธุรกิจรายใหม่ และผลักดันให้มีการพัฒนาให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบธุรกิจได้
  2. การสนับสนุนการพัฒนาระบบ จะถือว่าเป็นอีกระดับของการพัฒนาที่เน้นการพัฒนาทั้ง แฟรนไชส์ซอร์ให้มีการจัดการ รูปแบบธุรกิจที่พัฒนาได้มากขึ้น และมุ่งสร้างกระตุ้นให้ระบบการลงทุนแฟรนไชส์เป็นที่เข้าใจและพัฒนาผู้ประกอบการทีเกิดจากระบบแฟรนไชส์ที่เข้มแข็ง
  3. การพัฒนาธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ จะเป็นกิจกรรมเฉพาะการส่งเสริมขยายธุรกิจในประเทศเป้าหมาย

 

ภาพที่   แสดงแผนผังโครงการ 3 ระยะ

แฟรนไชส์

ที่มา พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2558

 

  1. การพัฒนารูปแบบการส่งเสริม การขยายแฟรนไชส์สู่ประเทศเป้าหมาย 
  1. การส่งเสริม การลงทุนและพัฒนาแฟรนไชส์ซี การจัดกลุ่มแนวโน้มการเติบโตของระบบแฟรนไชส์นั้นแบ่งสภาวะเป็น 5 กลุ่ม คือ 

1.สภาวะที่แสดงถึงระดับการพัฒนาเบื้องต้นที่ทั้งแฟรนไชส์ซีและแฟรนไชส์ซอร์ไม่สามารถพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ ระบบแฟรนไชส์ยังไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบการลงทุนธุรกิจ

  1. สภาวะที่มีการพัฒนธุรกิจมากขึ้นด้วยจำนวน แต่ระดับความสนใจการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจมีการเติบโตมากขึ้นแต่ถือว่าสัดส่วนของระบบยังต้องพัฒนา สัดส่วนของระบบแฟรนไชส์มีอยู่ในช่วงร้อยละ 8-15% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบธุรกิจค้าปลีกของประเทศ ซึ่งปัจจุบันระบบแฟรนไชส์ประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะดังกล่าว
  2. สภาวะที่เริ่มมีการเติบโตลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น สัดส่วนแฟรนไชส์ประมาณร้อยละ 15 -20 การพัฒนาระบบแฟรนไชส์ยังสามารถเติบโตได้มากขึ้น 
  3. เป็นระยะที่แฟรนไชส์มีสัดส่วนร้อยละ 20-30 ของระบบค้าปลีก ถือว่าสังคมให้ความตื่นตัวและเข้าใจต่อระบบแฟรนไชส์อย่างมาก ประเทศที่มีภาวะนี้ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ใต้หวัน เป็นต้น 
  4. กลุ่มสภาวะที่มีการเติบโตต่อเนื่องและมีการลงทุนระบบแฟรนไชส์ที่สร้างมูลค่าสำคัญ การจ้างงาน และจำนวนธุรกิจจัดตั้งในระบบแฟรนไชส์ที่สมบูรณ์ มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ขึ้นไปเมื่อเทียบกับระบบค้าปลีก

 

ภาพที่   แสดงแนวคิดการพัฒนธุรกิจแฟรนไชส์ Franchise Development Matrix

แฟรนไชส์

  ที่มา  พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์, 2558

จากภาพแสดงส่วนในกล่องMatrix ที่มีการเจริญเติบโตเพียง แฟรนไชส์ซอร์ หรือแฟรนไชส์ซีด้านเดียว ทำให้รูปแบบการลงทุนไม่สมบูรณ์ การขยายตัวของระบบจะลดลง หรือแฟรนไชส์ซอร์จะต้องหาตลาดจากภายนอกประเทศมากขึ้น เป้าหมายการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์จะกำหนดให้อยู่ในสภาวะที่ 3 และ 4 เป็นหลัก 

การพัฒนาแฟรนไชส์ซอร์ที่สำคัญ จะเน้นการพัฒนาธุรกิจ สร้างจำนวนแฟรนไชส์ซอร์ให้มีจำนวนเพียงพอต่อการเลือกลงทุนของประชาชน    (จากการเปรียบเทียบจำนวนระบบแฟรนไชส์ต่อประชากรในภูมิภาค สำหรับประเทศไทยอัตราส่วนจำนวนระบบแฟรนไชส์ ควรมีสัดส่วน 1.3 ธุรกิจต่อประชากร 1 แสนคน หรือ 850 ธุรกิจโดยประมาณ พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์,2558)  นอกจากนั้นการพัฒนาให้ธุรกิจแฟรนไชส์เข้าใจระบบการตลาดและการพัฒนาเครือข่ายการจัดการบริหารจะช่วยให้ธุรกิจมีอัตราล้มเหลวน้อยลง (Failure Rate

ตารางที่   แสดงจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ต่อประชากรแสนคน ในช่วงปี 2000-2005

แฟรนไชส์

ที่มา Asia Pacific Franchise Federation

สำหรับการผลักดันการลงทุนของประชาชน ต้องเน้นการรับรู้รูปแบบการลงทุนระบบแฟรนไชส์ที่ถูกต้อง การพัฒนแนวคิดการลงทุนธุรกิจที่ลดความเสี่ยง ให้มีทางเลือกในการจัดหาเงินทุนสำหรับระบบแฟรนไชส์มากขึ้น การส่งเสริมระบบธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องสร้างความเชื่อมั่น และเข้าใจในรูปแบบแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น ในสหรัฐอเมริการมีการเปิดสาขาระบบแฟรนไชส์ประมาณ 800,000 ธุรกิจ ในขณะที่ประเทศไทยมีประมาณ 40,000 สาขาเท่านั้นคิดเป็นอัตรส่วนร้อยละ 0.24 กับ 0.06 ดังนั้นโอกาสการสร้างจำนวนแฟรนไชส์ซีในประเทศไทยเท่ากับ 140,000 สาขาหรือสัดส่วนประมาณร้อยละ 0.25 ของจำนวนประชากร ระบบแฟรนไชส์จึงมีโอกาสเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3 เท่าตัวจากในระบบปัจจุบัน

  1. การร่วมมือหน่วยงานต่างประเทศ การสร้างระบบแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศต้องมีการวางแนวคิดร่วมมือในหน่วยงานต่างประเทศ และการประสานสมาคมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเชื่อมกิจกรรม ระหว่างธุรกิจประเทศต่อประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ทั้งนโยบายภาครัฐและหน่วยงานต่างประเทศมีความเป็นสากลมากขึ้น รวมทั้งการประสานงานในด้านการพัฒนาการลงทุนจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

 

  • การกำกับดูแลระบบธุรกิจแฟรนไชส์ ที่ต้องการสร้างตลาดต่างประเทศ

เนื่องจากระบบแฟรนไชส์ที่จะต้องขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศนั้น จะต้องมีมาตรฐานทางธุรกิจระดับมาตรฐานเพียงพอ เนื่องจากการสร้างภาพลักษณ์ของระบบธุรกิจทั้งประเทศจะเกิดขึ้นในลักษณะใดขึ้นกับความสามารถของธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และความสำเร็จจากนักลงทุนในแต่ละประเทศ ความสำคัญต่อการรับรองและประเมินศักยภาพธุรกิจจึงจะต้องมีกระบวนเบื้องต้น ในการจัดประเมินโดยผ่านกิจกรรมดังนี้  เน้นในการส่งเสริมและประเมินผลอย่างเป็นระบบ โดยมีกิจกรรมหลัก 2 ส่วนดังนี้

  1. การรับรองทะเบียนผู้ส่งออกแฟรนไชส์ เพื่อการจัดเก็บข้อมูลธุรกิจแฟรนไชส์ที่พัฒนาสู่ต่างประเทศ และการจัดกลุ่มการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ให้มีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับกับตลาดในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น 
  2. การจัดมาตรฐานรับรองธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน โดยพัฒนาเครื่องมือในการตรวจสอบธุรกิจ และการจัดแบ่งอย่างเป็นระบบและได้รับการยอมรับจริงจัง

7. บทสรุป

กระบวนการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นระบบงานที่จะต้องบูรณาการหรือการจัดการพร้อมกันหลายด้านและใช้ระยะเวลาในการดำเนินการที่มากพอ จึงสร้างความสำเร็จได้จริง

ถึงแม้ว่าจะมีธุรกิจแฟรนไชส์หลายตรายี่ห้อที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ก็ไม่สามารถกำหนดได้ว่าทุกธุรกิจจะเหมาะสมในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้เหมือนกันหมด การวิเคราะห์ถึงศักยภาพและแนวทางการลงทุนของธุรกิจแฟรนไชส์ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่กำลังคิดพัฒนาแฟรนไชส์ไปสู่ต่างประเทศเพราะว่าแฟรนไชส์ซอร์นั้นเมื่อทำธุรกิจได้ดีระดับหนึ่งสามารถสร้างธุรกิจตนเองให้มีจุดเด่นน่าสนใจก็จะมีศักยภาพดูเหมือนจะง่ายต่อการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ แต่จริง ๆแล้วแนวทางดังกล่าวนั้นก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเนื่องจากการขยายสาขาไปต่างประเทศมีโอกาสล้มเหลวได้หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นเพราะธุรกิจที่ไปลงทุนในระยะแรกยังไม่สร้างกำไรเพียงพอที่จะเลี้ยงธุรกิจได้ การเสียภาพพจน์ของตราสินค้าที่ไม่ได้ตั้งใจหรือถ้าต้องมีการปิดสาขาบางสาขาลงที่อาจทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมเสียไปทั้งนี้

ปัญหาที่พบมักจะเกิดจากธรรมชาติของการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ตลาดใหม่ที่แตกต่างจากเดิม การทำธุรกิจในสภาพนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากไม่ใช่เพียงแค่มีรูปแบบของร้านหรือความรู้ความเชี่ยวชาญที่สร้างความสำเร็จในพื้นที่บางที่มาเป็นตัวช่วยเท่านั้น ถ้าบริษัทขาดความพร้อมทั้งเรื่องกำลังคนหรือวิธีการทำงานที่จะเข้ามาช่วยในรายละเอียด ซึ่งบางทีการขยายงานที่เร็วเกินไปทำให้ทีมงานต้องทำธุรกิจพร้อมกันหลายประเทศก็มักจะเกิดปัญหา 

ธุรกิจแฟรนไชส์มีทั้งบทเรียนที่เป็นความสำเร็จและความล้มเหลวให้เห็นมากมาย ธุรกิจที่สร้างความสำเร็จในต่างประเทศใดประเทศหนึ่งก็ยังไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเข้ามาประสบความสำเร็จในอีกประเทศได้ โดยเฉพาะเรื่อง ความนิยมในตราสินค้า พบว่าธุรกิจที่มีตราเป็นที่รู้จักในต่างประเทศแต่เมื่อเข้ามาในประเทศไทย บางครั้งตราสินค้าไม่เป็นที่รับรู้ ผู้บริโภคเป้าหมายมีน้อยที่รู้จักธุรกิจ เมื่อธุรกิจเริ่มจริงเหมือนกับจะต้องเริ่มต้นกันใหม่ เนื่องจากความนิยมในตราที่มีจากประเทศเดิมไม่เป็นที่รู้จักในประเทศเป้าหมายพอ หรือแฟรนไชส์บางระบบที่ต้องการลงทุนต่อสาขาสูงเกินไปการขยับขยายตัวเพิ่มสาขาทำได้ยากเนื่องจากต้นทุนรวมถึงการดำเนินธุรกิจที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้นกว่าปกติ สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ต้องทำความเข้าใจและมีการศึกษาให้ดีเสียก่อนนอกจากนั้นความพร้อมของเจ้าของแฟรนไชส์ที่ต้องการสร้างตลาดในต่างประเทศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อแฟรนไชส์ต้องขยายตัวเรื่องสำคัญคือ เรื่องการสร้างทีมงาน การหาบุคลากรที่เหมาะสมโดยเฉพาะในกรณีการขยายงานต่างประเทศที่จะต้องทำให้ดีเป็นพิเศษสำหรับการทำงานเพื่อช่วยแฟรนไชส์ซี และเรื่องหาทีมทำงานที่มีความพร้อมจริง ๆในต่างประเทศหรือต่างพื้นที่นั้นค่อนข้างมีข้อจำกัด นอกจากนั้นการสร้างรูปแบบการทำงานรวมถึงการสร้างตราสินค้าให้เกิดการยอมรับนั้นล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นการลงทุนขยายงานช่วงแรกจะต้องมองถึงธุรกิจในระยะยาวมากกว่า เม็ดเงินที่จ่ายไปกับการเปิดสาขาแรกๆนั้นจะถือเป็นการลงทุน และสุดท้ายที่ยากมาก ๆคือ การหาทำเลเปิดร้านที่มีความเหมาะสมทั้งเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายและสามารถสร้างยอดขายพอที่จะเลี้ยงธุรกิจหรือพิสูจน์ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้จริง

การวางแนวทางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องที่ทำให้ระบบธุรกิจของประเทศไทยสามารถเปิดเสรีได้โดยรักษาความได้เปรียบทางระบบธุรกิจไว้ได้ด้วย ทั้งนี้จะถือเป็นหลักการสำคัญต่อการพัฒนาภาคบริการของประเทศ ในด้านระบบแฟรนไชส์ ที่จะต้องเน้นประสิทธิภาพ ทั้งการจัดการภายใน การสร้างตลาด รวมถึงการออกแบบระบบธุรกิจในมีความเป็นสากล เพื่อสร้างตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็งและลดผลจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจจากรูปแบบส่งออกสินค้าพื้นฐาน  การขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนโดยใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของภาคบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการสามารถที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและย่อมได้ แต่ต้องมีการพัฒนารูปแบบที่ชัดเจนรวมทั้งชี้ให้เห็นแนวทางการพัฒนาธุรกิจ ถือว่าแนวทางดังกล่าวจะเป็นกรอบการพัฒนาหลักของโครงการนี้ด้วย 

จากความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในต่างประแทศจึงจะต้องมีระบบจัดการพิเศษ และการกำหนดเป้าหมายทางการตลาด การจัดพื้นที่ประเทศเป้าหมาย และการสนับสนุนธุรกิจในทิศทางที่ถูกต้อง และการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีการวางแผนจัดการโครงการที่เหมาะสมจึงจะทำให้ระบบธุรกิจแฟรนไชส์ของประเทศไทยเติบโตได้จริง และยั่งยืนต่อไป


8. ภาคผนวก  Appendix  ตารางแสดงเป้าหมายประเทศ และจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์

  Group A   Group B   Group C   Group D    
year Cambodia Loas Myanma   Vietnam Philippines Malaysia Indonesia   China Japan Singapore Brunai   Middle East Total สาขาใน 5 ปี
1 5 5 5   5 3 5 3   4 2 3 3   5 48       3,840 
2 5 5 5   5 5 5 5   5 3 3 3   5 54       3,240 
3 7 7 7   7 7 5 7   8 3 3 3   8 72       2,880 
4 7 7 7   7 7 5 7   10 3 3 3   10 76       1,520 
5 8 8 8   8 7 5 7   10 3 3 3   10 80           80 
total     32.00      32.00      32.00        32.00      29.00      25.00      29.00            37.00      14.00      15.00      15.00            38.00      330.00  11,560.00 
market size   100.00    100.00    100.00      400.00    800.00    400.00    800.00        4,000.00  2,000.00    800.00      80.00        1,000.00  10,580.00   
(Franchise systems)                                  
                                   
%share       0.32        0.32        0.32          0.08        0.04        0.06        0.04              0.01        0.01        0.02        0.19              0.04          0.03   
total of group                                   96.00                                                    115.00                                                        81.00            38.00     
value of initial fee                                 288.00                                                    460.00                                                      405.00          114.00    1,267.00   
mean of fee 3   4   5   3    
                                   
Note                                  
Market size is estimated from secondary data in 2015                
ตลาดรวมเอเชีย ไม่รวมอินเดีย รัสเซีย = 10,580 Franchise systems              
1. ตลาดกลุ่ม A B C D = 1,267 Ml Bath                            
                           
2. จำนวนสาขาธุรกิจต่อ 1 แฟรนไชส์ = 30 สาขา    คาดการณ์ภายใน 5 ปี จะมี 11,560 สาขา ml   sale per year 12 ml            
ค่า Royalty 2% = 2,774 ล้านบาท มูลค่ายอดขายเฉลี่ย 12/year 138,720    royalty 2% 2,774.40             
                                   

 

ตารางแสดงการขยายตัวธุรกิจแฟรนไชส์ในปีดำเนินงาน 5 ปี

 

  จำนวนธุรกิจ ยอดสะสม initial fee Royalty fee Raw Mat.
year 1 48   183.84    
year 2 54 107 206.92    
year 3 72 174 275.76    
year 4 76 250 294.08    
year 5 80 330 306.40    
  330       1,267.00      3,960.00        9,900 
           
ยอดค่าธรรมเนียม แฟรนไชส์ 1,264    
จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์   330    
ค่าเฉลี่ยมูลค่าสัญญาแฟรนไชส์ 3.83    
คาดการณ์ขยายสาขาต่อปี 10    

 

เป้าหมายการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

 

มูลค่าระบบแฟรนไชส์ภายใน 5-10 ปี                         
สำหรับการขยายตลาด AEC และ Japan, China, Middle East                      
                               
เป้าหมายจำนวนธุรกิจแฟรนไชส์  330                      
ในระยะเวลา 10 ปี 2570                          
ในช่วง 5 ปีดำเนินการ                          
  ค่าแฟรนไชส์ Franchise Fee 1,267                      
  Royalty Fee   3,960                      
  รวมค่าธรรมเนียม   5,227                      
                               
  ประมาณการค่าสินค้า   6,935                      
  New outlet opening   825                      
        7,760                      
                               
เป้าหมายการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไทย                        
  ตลาดรวมในประเทศเป้าหมย  10,580.00    จำนวนสาขาเฉลี่ยต่อธุรกิจ 78   รวมสาขาของตลาดเป้าหมาย            825,240 
  จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ไทย     330.00    จำนวนสาขาเฉลี่ยต่อธุรกิจ 20   รวมสาขาแฟรนไชส์ไทยในตลาดเป้าหมาย            11,560 
  สัดส่วนตลาด   3%   มูลค่ายอดขายแฟรนไชส์ไทย ต่อปี 138,720.00    มูลค่าประมาณการ ของธุรกิจแฟรนไชส์ตลาดเป้าหมาย 8,252,400.00 
  จำนวนสาขาที่ขยายใน 5 ปี       1,267    เป้าหมายสัดส่วนตลาดตามยอดขาย 1.7%            
                               

 

การประเมินมูลค่าธุรกิจแฟรนไชส์

 

ขนาดตลาดเป้าหมาย                      
  จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์         10,580                 
  จำนวนสาขา       825,240                 
  ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา ต่อปี 8-10 ล้าน                 
  มูลค่าสิทธิแฟรนไชส์รวม    31,740.00                 
    คิดเป็นดอลลาห์/ ล้าน     1,000.00                 
                         
มูลค่าคาดการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง                  
  ประมาณการค่าสินค้า   6,935 ค่าสินค้าเกิดจากยอดขายรวม 138,720.00  และมีสัดส่วนรายได้ที่ 5% 6936
  New outlet opening   825 เกิดขึ้นจากค่าธรรมเนียมการเปิดสาขาใหม่คาดการณ์        
        7,760                
  ค่าRoyalty     3,960                
  รวมรายได้คาดการณ์   11,720                
                         
มูลค่าเพิ่มเทียบส่งออก     ล้านบาท              
เทียบอัตรากำไรจากการส่งออก หรือ มูลค่าเพิ่มจากสินค้า 8%              
  มูลค่าต่อปี       11,720              
  เท่ากับรายได้ส่งออก          146,500.00               
  มูลค่าส่งออกปี 2557ประมาณ   9,111,735.00               
  สัดส่วนมูลค่ารายได้นำเข้าแฟรนไชส์ 1.6%              
                         

 

References

พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ (2557), แฟรนไชส์ ยุทธการโคลนนิ่งธุรกิจ, บริษัท แฟรนเน็กซ์ จำกัด, หน้า 1-398.

Alon, Ilan. Toncar, Mark, Le, Lu. (2002), American Franchising Competitiveness in China, Shanghai University of Science and Technology, pp. 1-18.

Dubai Business Guide Operations, (2012), Franchise in Dubai :  Business information series, Dubai Chamber, pp. 4-24.

English, Wilke (2001), “Franchising in China: Y2K Update,” in International Franchising in Emerging Markets: China, India, and Other Asian Countries, Ilan  Alon and Dianne H.B. Welsh, eds., CCH Incorporated, Chicago, p. 57-65. 

  1. Hachemi aliouche and Udo A. Scgkebtrucg ,(2008), International Franchise Assessment Model : entry and expansion in the European union, Entrepreneurial Business, L.Journal 2008-2009.

English, Wilke and Chin Xau (1994), “Franchising in China: A 1994 Look at KFC and McDonalds,” in International Franchising in Emerging Markets: China, India, and Other Asian Countries, Ilan Alon and Dianne H.B. Welsh, eds., CCH Incorporated, Chicago, p.37-56. 

Giles, Stephen (2011), Franchising in the Asia-Pacific Region, the American Bar Association Forum on Franchising in October 2011. pp. 2-26.

IHS Economics (2016), Franchise Business Economic Outlook for 2016, International Franchise Association Educational Foundation, IFAEF shaping the future of franchising, pp. 1-23.

KPMG (2013), Collaborating for Growth: report on Franchising Industry in India 2013, Franchise Association of India, pp01-83.

Nair, S. R. (2001), “Franchising Opportunities in China from the Perspective of a Franchisee,” in International Franchising in Emerging Markets: China, India, and Other Asian Countries, Ilan Alon and Dianne H.B. Welsh, eds., CCH Incorporated, Chicago, p. 109-121. 

PWC (2011), How is franchising driving business growth, Franchise Sector Indicator, pp,1-44.

Sheyka, W Joseph and Geenstein, G. Richard (2009), Executive Summary of Franchise Laws around the World, DLA piper, pp.1-43

Stephen Giles, Partner , FRANCHISING IN THE ASIA-PACIFIC REGION, Norton Rose Australia Iain Irvine, Senior Associate – Fox Tucker

Supato, Angeline (2013), Market setup, Franchising Regulations and JV Considerations for F&B and Retail in Indonesia, Presentation Paper, Indonesia Advisory Seminar 7 November 2013.

Tokyo Small and Medium Enterprise Management Consultants Association (2013), Current State of Japanese Franchise Business, Tokyo Franchise Show 2013, pp. 1-8.

Verbieren, Sofie et al (2008), Franchising : a literature review on management and control issues, Lessius Universitty College, pp 1-43.